วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข่าว ไอที 25



แหล่งข่าววงในได้ส่งภาพหน้าเว็บที่ให้รายละเอียดเกียวกับ Nexus One ของกูเกิ้ล (Google) ซึ่งช่วยยืนยันข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ 2 ประเด็นด้วยกันคือ กูเกิ้ลจะจำหน่าย Nexus One เป็น 2 เวอร์ชันได้แก่ เครื่องเปล่า (Unlock) และพ่วงกับการเป็นสมาชิกโอเปอเรเตอร์ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือ กูเกิ้ลจะจำหน่ายมือถือเอง
สนนราคาที่หลุดออกมา สำหรับเครื่องเปล่าของ Nexus One ที่ไม่ผูกพันกับโอเปอเรเตอร์จะอยู่ที 530 เหรียญฯ หรือประมาณ 18,000 บาท งานนี้กูเกิ้ลตั้งใจฟันกำไรจากแอนดรอยด์โฟนของทางบริษัทอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าพ่วงไปกับการเป็นสมาชิกโอเปอเรเตอร์ ซึ่งก็คือ T-Mobile นาน 2 ปี ราคาของมันจะอยู่ที่ 180 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,000 บาท (ราคาสมาชิกบริการครบทั้ง voice และ non-voice ต่อเดือนจะต้องจ่าย 79.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,700 บาท)

ข่าว ไอที 24



ขณะที่ใครหลายๆ คนเพิ่งได้มีโอกาสสัมผัส และชื่นชมไอแพด (iPad) มือสังหารอย่าง iFixit ไม่รอช้า คว้าไอแพดมาชำแหละให้เห็นไส้ในกันก่อนใครอีกแล้วครับท่าน โดยขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนของไอแพดมีประมาณ 28 ขั้นตอน ซึ่งนอกจากภายนอกที่มีความสวยงามแล้ว คุณยังจะได้เห็นการออกแบบภายในทีงดงามไม่แพ้กันอีกด้วย
เรื่องเล่าว่า สตีฟ จอบส์ เคยสั่งให้วิศวกรที่ออกแบบแผงวงจรหลักให้กับเครื่องแมคไปออกแบบใหม่ เนื่องจากมันดูไม่สวย ด้วยความที่เป็น perfectionist ของจอบส์ที่มองว่า ผลิตภัณฑ์ของ Apple ต้องสวยงามทั้งภายนอก และภายใน ตลอดจนเข้าใจง่ายตั้งแต่ขั้นตอนการแกะกล่องมองเห็นผลิตภัณฑ์เลยด้วยซ้ำ ว่าแต่รู้สึกจะนอกเรื่องไปไหนแล้วเนี่ย ล่าสุด iFixit บริษัทผู้ให้บริการซ่อม Gadget สารพัดชนิด ได้ฤกษ์เบิกชัยในการชำแหละไอแพดวันที่มันวางตลาด ซึ่งภายในมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้ครับ

ข่าว ไอที 23


นวตกรรมไฮไลท์ในงาน Hanover Messe 2010 ที่จัดขึ้นในประเทศเยอรมันปีนี้ บริษัท DFKI Bremen ได้นำเสนอ หุ่นยนต์ประเภทฮิวแมนอยด์ชื่อว่า AILA วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการสาธิตให้เห็นถึงโลกอนาคตในอีกสิบปีข้างหน้า (2020) ที่หุ่นยนต์จะสามารถช่วยทำงานต่างๆ ร่วมกับมนุษย์ได้ลงตัวมากขึ้นสำหรับระบบการทำงานของ AILA จะใช้ SemProM (Sematic Product Memory) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบการมองเห็นด้วยคอมพิวเตอร์ (computer vision) กับความสามารถในการสัมผัสจับต้องสิ่งของทีมีรูปร่าง และขนาดต่างๆ ตัวอย่างเช่น AILA สามารถคำนวณได้เองว่า หากต้องใช้มือหยิบขวดขึ้นมาจะต้องออกแรงเท่าไร เพื่อให้สามารถยกขวดใบนั้นขึ้นมาได้ โดยที่มันไม่แตก หรือหลุดมือร่วงลงพื้น ซึ่งสิ่งของ หรือวัตถุต่างๆ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติที่เก็บไว้ใน RFID เพื่อใช้ในการสื่อสารกับ AILA ได้

ข่าว ไอที 22

ที่มาที่ไปของไอที-ไกด์
กำเนิดเป็นตัวตนจริงๆ ประมาณวันที่ 09 เดือนกันยายน 1999 โดยความตั้งใจแรกจะใช้เป็นสมุดบันทึก ประสบการณ์การทำงานด้านไอที การแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เพื่อจะได้กลับมาค้นหาเวลาลืม :) หลังจากนั้นไม่นาน พบว่าอินเตอร์เน็ตเริ่มนิยมแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และพบว่าคนไทยส่วนใหญ่เริ่มสนใจการทำเว็บ จึงได้เพิ่มหัวข้อเกี่ยวกับ webmaster เพื่อแนะนำการสร้างเว็บด้วยภาษา HTML และหลังจากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยมีการขอนัดสัมภาษณ์และลงในหน้ากลางของหนังสือพิมพ์ ทำให้เว็บไอที-ไกด์ ดอทคอม เริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมา


อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน เรายังมีความตั้งใจเช่นเดิม ที่จะเผยแพร่ความรู้ให้กับคนไทยด้วย โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายหรือ แต่ถ้าท่านใดต้องการสนับสนุนเราสามารถสมัครสมาชิก เพื่อรับสิทธิพิเศษในการใช้บริการ หรือซื้อสินค้า หนังสืออีบุ๊ค ในราคาพิเศษสุดๆ


ต้องการข้อมูลไปเผยแพร่

สำหรับเพื่อนๆ เว็บมาสเตอร์ทุกท่าน ที่ต้องการนำข้อมูลไปใส่ยังเว็บของท่าน ทางเรายินดีและอนุญาตให้นำไปติดได้ แต่ขอให้ใส่ลิงค์กลับมายังเว็บของเราด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง หรืออาจสร้างเป็นลิงค์ตรงมายังเว็บของเราจะดีที่สุด ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้


สำหรับโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ทางเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางคุณจะนำข้อมูลของเราไปเผยแพร่ หรือใช้จัดทำเป็นบทเรียน (Sheet) แต่ไม่อนุญาตให้จัดทำเป็นหนังสือเพื่อจัดจำหน่ายน่ะครับ แต่อย่างไรก็ตาม กรุณาช่วยอ้างอิงเว็บของเราด้วยครับ และช่วยกรุณาแจ้งมายังอีเมล webmaster@it-guides.com This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it จักขอบพระคุณยิ่ง

ข่าว ไอที 21



เปิดสัญญาณ wirless ที่ตัวคอมพิวเตอร์ notebook
รอสักครู่จะมีสัญลักษณ์เหมือนขั้นบันได
คลิกที่สัญลักษณ์นี้ จะมีหน้าต่างแสดงรายชื่อสัญญาณ wireless ให้เราเลือก
เลือกสัญญาณที่ต้องการ
คลิกปุ่ม connect
ถ้าสัญญาณ wireless ที่เราเลือกมีรหัสผ่าน เราจำเป็นต้องใส่รหัสผ่านก่อนเสมอ
ถ้าเชื่อมต่อสำเร็จ จะมีข้อความ "connected" แสดงให้เห็น
ข้อควรทราบ การให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต จำเป็นจะต้องมีการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่สำนักงาน หรือแม้ทั่งที่สาธารณะ ทั้งนี้ตามกฏหมายไทย (พรบ.คอมพิวเตอร์) มีการระบุความผิดไว้ชัดเจน ดังนั้น เราจำเป็นจะต้องมีการตั้งรหัสผ่านของอุปกรณ์ในการบริการด้านอินเตอร์เน็ตด้วยเสมอ

ข่าว ไอที 20


เปิด แล้ว โมบายส์ไลฟ์แบล็กเบอรี่โปตอลแหล่งรวมแอพลิเคชั่น แห่งแรกในเมืองไทย เอาใจสาวก BB สนุกกับสารพัดลูกเล่นใหม่เปิดสมัครฟรีที่ www.mobilelife.co.th หรือโทร *900…

นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาดบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิสจำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า หลังจากเอไอเอสสร้างตลาดมือถือแบล็คเบอรี่ในประเทศไทย จนประสบความสำเร็จ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 80% ทุกเดือน ทำให้ภายในระยะเวลาเพียง 3-4 เดือน มียอดผู้ใช้บริการแพ็คเกจ BlackBerry Unlimited สูงกว่า 6 หมื่นราย

ผอ.สำนักการตลาดบริการเสริม เอไอเอส กล่าวต่อว่าโดยล่าสุด เพิ่มประสิทธิภาพให้ลูกค้าสนุกคุ้มค่ากับการใช้งาน โดยพัฒนาโมบายไลฟ์ แบล็คเบอรี่ พอร์ทัล (mobileLIFE BlackBerry Portal)เป็นแหล่งรวมแอพลิเคชั่นของ แบล็คเบอรี่ เพื่อรองรับการใช้งานในเครือข่ายเอไอเอสโดยเฉพาะ รวมถึงมั่นใจคุณภาพของแอพลิเคชั่น และคอนเทนต์ที่ได้รับการเซอร์ทิไฟล์(certify) ว่าปลอดภัยกับตัวเครื่อง ทำให้ผู้ใช้ BB สามารถดาวน์โหลดบริการเสริม และคอนเทนต์มาเก็บไว้เล่นบนมือถือ

นายปรัธนา กล่าวด้วยว่า ลูกค้าเอไอเอสสามารถเข้าสู่หน้าโมบายไลฟ์ แบล็คเบอรี่ พอร์ทัล ได้ฟรีไม่ต้องสมัครใช้บริการ ที่ www.mobilelife.co.th หรือโทร *900 ทั้งนี้ หากมือถือเป็นแบล็คเบอรี่ ระบบจะทำการลิงค์เข้าสู่หน้า โมบายไลฟ์ แบล็คเบอรี่ พอร์ทัล ให้โดยอัตโนมัติ

ข่าว ไอที 19



HP ส่ง 2 รุ่น ENVY13 และ ENVY15 ลงประชัน เน้นเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยม หวังตอบโจทย์ความบันเทิงและงานอย่างเหนือชั้น…
นาย ประเสริฐ จรูญไพศาล ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซัลแนลซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอชพี กล่าวว่า ล่าสุด เอชพีต่อยอดผลิภัณฑ์โน้ตบุ๊ค HP Voodoo ENVY โดยประกาศเปิดตัวซับแบรนด์ล่าสุด ?HP ENVY? พร้อมโน้ตบุ๊ค 2 รุ่นล่าสุด ได้แก่ HP ENVY13 และ HP ENVY15 ด้วยการออกแบบเพื่อประสบการณ์ใช้งานระดับพรีเมี่ยม ตั้งแต่ภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และการบริการ ภายใต้นวัตกรรมล้ำสมัยที่เหมาะสมแก่การใช้งาน ตามมาตรฐานทรงพลังในการประมวลผลและประสิทธิภาพ

ผจก.ทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซัลแนลซิสเต็มส์ บ.เอชพี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมเทคโนโลยี HP Metal Etching บนฝาหลังและบริเวณที่พักฝ่ามือ ช่วยสะท้อนความหรูหราจากโลหะและการผลิตที่ใส่ใจต่อคุณค่าการใช้พลังงาน โดยโครงสร้างของ HP ENVY13 ที่ทำจากอะลูมิเนียมและแมกนีเซียมเพื่อความทนทาน พร้อมความบางเพียง 0.8 นิ้ว น้ำหนัก 1.69 กิโลกรัม รวมถึง หน้าจอ Radiance ให้การแสดงผลมากกว่าโน้ตบุ๊คประเภทเดียวกันถึง 2 เท่าตัว ด้วยขอบเขตสีแบบ Gamut ถึง 82% เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ 45-60% ช่วยให้ภาพสดใส เห็นถึงคุณภาพและมิติสีภาพดิจิตอล โดยสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วภายใน 8 มิลลิวินาที ผ่าน Intel Core 2 Duo processor ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า โครงสร้างของ HP ENVY15 ผลิตจากแมกนีเซี่ยมอัลลอยน้ำหนักเบา และบางเพียง 1 นิ้ว น้ำหนักเริ่มต้นที่ 2.35 กิโลกรัม พร้อมหน่วยประมวลผล Intel Core i7 Processor ความจำแบบ DDR3 1066 MHz สูงสุด 16 กิกะไบต์ และสล็อตเสียบความจำ 4 ช่อง จัดเก็บข้อมูลได้หลากหลาย รวมถึง การเก็บโซลิทสเตทไดร์ฟไดรฟ์ (SSDs) ที่สามารถปรับตั้งค่าทำ Raid ระดับ RAID-0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแก่ผลิตภัณฑ์ โดยผู้ใช้สามารถเลือกหน้าจอแสดงผลแบบ BrightView HD LED backlit ขนาด 15.6 นิ้วแบบสองจอ หรือไวด์สกรีน Full High-Definition LED HP Ultra BrightView ให้ความสว่างสูงสุด 300 ยูนิต รวมถึง กราฟฟิกระดับพรีเมี่ยมจาก ATI Mobility Radeon 4830 เพื่อการแสดงภาพระดับสูง พร้อมอุปกรณ์ Nightvision VGA Webcam ที่สามารถปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้โดยอัตโนมัติ

ผจก.ทั่ว ไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซัลแนลซิสเต็มส์ บ.เอชพี กล่าวด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รุ่นยังถูกออกแบบให้ครอบคลุมแนวทางผลิตภัณฑ์แบบ 360 องศา และแบตเตอรี่ Slim Fit เพื่อการใช้งานที่นานยิ่งขึ้นและพกพาได้สะดวก ขณะที่ HP Clickpad ช่วยรวมการทำงานของปุ่มกดต่างๆ ไว้ในทัชแพด ทำให้ควบคุมการใช้งานได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว ส่วนเทคโนโลยี HP QuickWeb ช่วยให้ผู้ใช้สามารถท่องเว็บไซต์ แชท ดูรูปภาพ วิดีโอ และเนื้อหาอื่นๆ โดยโน้ตบุ๊ค HP ENVY13 วางจำหน่าย ณ Experience Shop สาขาเซ็นทรัล พระราม 2 , แจ้งวัฒนะ , ฟอร์จูนทาวน์ , พันธุ์ทิพ พลาซ่า , ดิจิตอล เกตเวย์ สยามสแควร์ ในราคา 89,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่วน HP ENVY15 มีวางจำหน่ายที่ตัวแทนจำหน่ายเอชพี ในราคา 99,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ข่าว ไอที 18



ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้หลายคนให้ความสนใจในเรื่องของจอภาพแบบ LED มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลดังกล่าวได้การยอมรับในเรื่องของความคม ชัดและสีสันที่สดใส ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ในตลาดของ LED TV ก็มีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่ามีให้ได้เห็นเกือบทุกยี่ห้อ ซึ่งเป็นจอแสดงผลระดับ 42? ขึ้นไป ข้อดีของจอประเภทนี้ก็คือ ให้ความสว่างสดใสและภาพที่ได้มีความคมชัด ที่สำคัญยังส่งผลต่อการออกแบบจอภาพได้บางลงและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นอีก ด้วย เนื่องจากเปลี่ยนจากการใช้หลอดแบบ CCFL มาเป็นหลอดแบบ LED ที่กินไฟน้อยกว่าถึง 40% ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ได้ก้าวสู่การเป็นจอ LED อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ก้าวเข้ามาให้ผู้ใช้ได้สัมผัส กันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น

ข่าว ไอที 18



ในช่วงปีที่ผ่านมาแม้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนโดยทั่วไป จะก้าวสู่ความจุในระดับ 2 Terabyte หรือ 2000GB แล้วก็ตาม แต่ฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ที่เรียกว่า SSD ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในส่วนของความจุ ก็ยังขยับอยู่ที่ 64GB-128GB ถึงแม้ว่าราคาจะยังค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็ถือว่าปีนี้ก็จะเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีสำหรับสื่อจัดเก็บข้อมูล ประสิทธิภาพสูงเช่นนี้ จะเข้ามาให้ผู้ใช้ได้สัมผัสมากขึ้นและมีความจุที่สูงขึ้น โดยเฉพาะความจุระดับ 256GB ขึ้นไป ก็จะมีให้ได้เลือกใช้กันในบ้านเรา

ข่าว ไอที 17



ความก้าวหน้าของสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบพกพาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รูปแบบ การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความจุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกขณะ โดยปัจจุบันแม้ว่าความจุมาตรฐานที่มีจำหน่ายอยู่ในบ้านเราจะอยู่ที่ประมาณ 8GB-16GB ก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีความจุมากขึ้นเท่าตัวในทุกๆ 3 เดือน เช่นเดียวกับหลายค่ายก็เริ่มทยอยเปิดตัวแฟลชไดรฟ์ในระดับ 32GB-128GB ให้ได้เห็นกันบ้างแล้ว ซึ่งล่าสุดทาง Kingston ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก ก็ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ในรุ่นความจุที่สูงถึง 256GB อีกด้วย ซึ่งความจุในระดับดังกล่าว ช่วยให้การเคลื่อนย้ายข้อมูลเป็นไปอย่างคล่องตัว โดยเฉพาะในยุคที่ไฟล์ข้อมูลมัลติมีเดียมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกขณะ

ข่าว ไอที 16



ในชีวิตประจำวันเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ เพื่อไว้ตอบสนองในด้านการแสดงผลและการพรีเซนเทชันภายในสำนักงานหรือสถาน ศึกษา ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ฉากหลังและระยะการจัดวางที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าคงมีเพียงไม่กี่รุ่นที่ออกแบบ สำหรับการพกพาไปใช้ยังสถานที่ต่างๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ความต้องการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตมีมากขึ้น เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์แบบที่เป็น Personal Projector เพื่อนำไปใช้ในงานนอกสถานที่หรือความบันเทิงภายในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อลดข้อจำกัดของการแสดงผลผ่านทางหน้าจอโน้ตบุ๊กตัวเล็กๆ ก็คงไม่ได้ให้ภาพที่มองเห็นชัดมากนักหรือการจะหาจอแสดงผลขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ เรื่องง่าย การจะแบกโน้ตบุ๊กจอใหญ่ๆ ไปเที่ยวด้วยก็คงไม่ใช่สิ่งที่สะดวกนัก

ข่าว ไอที 15



SoftBank Mobile ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออันดับ 3 (สมาชิก 25 ล้านราย) ในญ๊่ปุ่นก็ได้ออกมือถือรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับธีม “Gundam” ซึ่งเป็นซีรียส์การ์ตูนที่มีสาวกชื่นชอบมากมายทั้งในญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ งานนี้แฟนพันธุ์แท้ Gundam ย่อมไม่พลาดที่จะหามือถือรุ่นนี้มาเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน

ข่าว ไอที 14



ข่าวลือก่อนหน้านี้อ้างว่า Google เตรียมเปิดบริการใหม่ที่เรียกว่า ” Google Me ” โดยเป้าหมายคือ โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ทางบริษัทพัฒนาออกมาต่อกรกับ Facebook ข่าวดังกล่าวได้ถูกนำมาหยิบยกพูดถึงกันอีกครั้ง เมื่ออีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ Google ได้เปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับบริการใหม่ที่ว่านี้

ข่าว ไอที 13



ทรูมูฟ (True Move) และ ดีแทค (Dtac) เปิดตัว iPhone 4 ไอโฟน รุ่นใหม่ในไทย ข่าวบอกว่า iPhone 4 จะเริ่มเปิดตัวในไทยเดือน กันยายน และ ราคา ขาย ของ iPhone 4 จะตั้งอยู่ที่ไกล้เคียงกับ ราคาเดิมของรุ่น iPhone 3Gs โดยทั้ง ทรูมูฟ (True Move) และ ดีแทค (Dtac) จะตั้งราคาขายของเครื่อง iPhone 4 เท่ากันอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าว ไอที 12

สุดยอด!!! เน็ตบุ๊ก-แท็บเล็ต"สองจอ"
กองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ยังคงเกาะติดเทคโนโลยีเด็ดๆ ในงาน CEATEC อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่คุณผู้อ่านหลายท่านได้ตื่นตะลึงกับ Spacebook โน้ตบุ๊กสองจอของ gScreen ไปแล้ว ล่าสุดในงานนี้ Kohjinsha ได้นำต้นแบบเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่มาโชว์ โดยจุดเด่นของมันก็คือมี"สองจอ"ด้วยเหมือนกัน อะไรจะไฮโซฯขนาดนั้น

บูธ Kohjinsha ในงาน CEATEC ได้สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมไม่น้อยด้วยการแสดงต้นแบบ"เน็ตบุ๊ก"ไฮโซฯที่มาพร้อม กับหน้าจอ LCD ขนาด 10.1 นิ้ว (ความละเอียด 1024 x 600 หรือ 1366 x 768) ถึง 2 จอด้วยกัน โดยสามารถเลื่อนทับกันได้สนิท ในกรณีที่ต้องการใช้งานแค่จอเดียว แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่แค่เน็ตบุ๊กที่มีสองจอเท่านั้นนะครับ เพราะจากในรูปสังเกตได้ว่า บริเวณด้านล่างของจอกับคีย์บอร์ดจะมีกลไกที่ทำให้สามารถหมุนจอได้เพื่อใช้งานเป็น"แท็บเล็ต"ได้อีกด้วย

ต้นแบบเน็ตบุ๊กสองจอของ Kohjinsha เครื่องนี้จะใช้ซีพียูเป็น AMD Athlon Neo MV-40 1.6GHz ไดรเวอร์สำหรับการแสดงผลเป็น DirectX 10 ฮาร์ดดิสก์ SATA 2.5 นิ้ว รองรับหน่วยความจำแบบ DDR2 ได้สูงสุด 4GB เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11 b/g/n และบลูทูธ มาพร้อมกับฟังก์ชันทีวีจูนเนอร์ และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Home Premium โดยตัวเครื่องต้นแบบมีน้ำหนักรวมทั้งหมดไม่ถึง 4 ปอนด์ (1.8 กิโลกรัม) แต่อาจจะเทอะทะเล็กน้อย ทั้งนี้ส่วนที่หนาที่สุดของเครื่องจะอยู่ที่ 1.7 นิ้ว (สองจอซ้อนกัน+ตัวเครื่อง) และบางสุด 0.75 นิ้ว นอกจากเรื่องของการพกพาที่ดูไม่น่าจะสะดวกมากนักแล้ว มันยังมีประเด็นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้ เพราะสองจอน่าจะใช้พลังงานไม่น้อย กำหนดการวางตลาดในญี่ปุ่นก่อนสิ้นปีนี้ สนนราคาประมาณ 800 เหรียญฯ (ประมาณ 28,800 บาท) เอาเป็นว่า มันจะดูสวยงามน่าใช้แค่ไหน คุณผู้อ่านก็ลองชมจากคลิปที่นำมาฝากข้างล่างนี้ก็แล้วกันครับ

ข่าว ไอที 11

HP Mini 311 เน็ตบุ๊ก Windows 7 ตัวจริง


HP Mini 311 เน็ตบุ๊กที่มาพร้อมกับคุณสมบัติการทำงานที่เหนือกว่าเรื่องของการประหยัด พลังงาน (ใช้งานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง) โดยเฉพาะความสามารถในการแสดงผลที่ความละเอียด 1366 x 768 บนหน้าจอขนาด 11.6 นิ้วด้วยชิปกราฟิก NVIDIA ION LE รองรับการแสดงผลไฮเดฟฯ 1080p ทำให้การรับชมวิดีโอ และเล่นเกมส์ได้กลายเป็นจุดขายทีสำคัญอีกจุดหนึ่ง แต่ทว่ายังไม่หมดแค่นี้...


ปกติสเป็กของเน็ตบุ๊กรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน่วยความจำ 1GB ฮาร์ดดิสก์ 160GB และ NVIDIA ION LE ซึ่งไม่สนับสนุนการทำงานของ DirectX 10 แต่ล่าสุดเน็ตบุ๊กรุ่นดังกล่าวสามารถอัพเกรดคุณสมบัติของการทำงานให้รอง รับระบบปฎิบัติการ Windows 7 ที่จะออกมาในวันที่ 22 ตุลาคม ได้หลายเวอร์ชัน ว่ากันตั้งแต่ Starter, Basic, Premium ไปจนถึง Professional ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซต์ MyHPMini ที่พบว่า มีการระบุไว้ในคู่มือบริการของเน็ตบุ๊กรุ่นนี้แล้วสำหรับการอัพเกรดที่เกิดขึ้น HP Mini 311 จะวางตลาดพร้อมกับ Windows 7 โดยสนับสนุน NVIDIA ION (ไม่ใช่ LE อีกต่อไป) หน่วยความจำ 2 - 3GB ฮาร์ดดิสก์ 250 หรือ 320GB หรือจะเลือกเป็น SSD 80GB ก็ได้ แน่นอนว่า สเป็กที่อัพเกรดย่อมมาพร้อมกับราคาทีสูงขึ้น ซึ่งจากเดิมราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 399 เหรียญฯ (ประมาณ 14,500 บาท)

สนับสนุนโดย คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2009 (COMMART COMTECH THAILAND 2009) วันที่ 5 - 8 พฤศจิกายน 2552 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ข่าว ไอที 10

“G – Net” มอบโชคทอง 300 บาท แจกแหลก ทุกภาคทั่วไทย




“ปอย – ตรีชฎา” สาวสวย Product Presenter ของ “G - Net” เจ้าของคำฮิตติดปาก “น้องปอย ปิ๊งจีเนท” อาสาลงพื้นที่ ไปแจกทองน้ำหนักรวม 300 บาท ถึงที่ ให้กับร้านค้าที่จำหน่าย และลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถือ G - Net โดยสามารถร่วมส่งใบรับประกันสินค้าได้ ณ พื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรม



“ใบรับประกันสินค้าทุกใบมีค่านะคะ สำหรับร้านค้าที่จำหน่าย และลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถือ G - Net อย่าลืมกรอกข้อมูลในใบรับประกันให้ครบถ้วน โดยต้องมีทั้งชื่อของร้านค้าที่จำหน่าย และลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถืออย่างชัดเจน ไม่มีการขีดฆ่า หรือแก้ไขข้อมูล ปอยพร้อมที่จะไปแจกโชคทองให้กับทุกคนแล้วค่ะ ยิ่งส่งมากก็ยิ่งมีสิทธิ์ลุ้นรับทองจากมือปอยนะคะ แล้วเจอกันทุกภาค ทั่วประเทศค่ะ”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G – Net Call Center หมายเลข 02 – 502-2222 หรือที่ www.gnetmobile.com

ข่าว ไอที 9


COM7 ควง Steelseries จับมือ fpsthailand จัด Mini Sniper Tournament บุกงาน Big Festiva
เปิดฉากความมันส์ กระหึ่มงาน Big Festival 2009 เมื่อ COM7 ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Professional Gaming Gear จาก SteelSeries จับมือเว็บไซด์ FpsThailand จัด Mini Sniper Tournament 3 เกมดัง Counter Strike / SF และ SA ให้เหล่าสาวก FPS ได้โอกาสวาดลวดลายโชว์ความเก๋า พร้อมเผยความแม่นในตัว ถ้าคุณคือ Sniper ตัวจี๊ด ตัวจริง อย่าพลาด!! มาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า นอกจากนี้ในบูธ Com7 ขนทัพสินค้าสำหรับเกมเมอร์มาในงานเพียบ ไม่ว่าจะเป็น SteelSeries Professional Gaming Gear Accessories: Headphone Keyboard mouse ให้สาวก SteelSeries ได้ชมและสัมผัสความสุดยอดของเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยเกมเมอร์เพื่อเกมเมอร์อย่างแท้จริง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยโซน VGA Card ยกทัพสุดยอดการ์ดจอ มหาเทพ สำหรับคอเกมโดยเฉพาะ หลากหลายรุ่นจาก 5 แบรนด์ดัง PowerColor, Sapphire, ECS, Inno3 และ Winfast พร้อมเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่งานนี้...งานแรก ในงานยังจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดๆๆ ทั้งลด แลก แจก แถมและปิดท้ายความแรง 2 วันสุดท้ายด้วยการ Lucky Draw จับรางวัลให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้า SteelSeries ในงานและสมาชิก www.fpsthailand.com อีกด้วย

ข่าว ไอที 8

ext3 หรือระบบแฟ้มสามขยายเป็นระบบแฟ้ม journalled ที่เข้ามาในการเพิ่มการใช้งานของผู้ใช้ในระบบปฏิบัติการ เป็นระบบแฟ้มเริ่มต้น สำหรับ Red Hat, Fedora และกระจาย Debian Linux ทำไมต้องย้ายจากที่ ext3 ext2? สี่เหตุผลหลัก ความสมบูรณ์ของข้อมูลรวดเร็วและง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าประสิทธิภาพและ scalability ที่น่าสนใจน้อยกว่ามากของคู่แข่งเช่น ReiserFS XFS และมันจะมีประโยชน์สำคัญในการที่จะช่วยให้การอัพเกรดในสถานที่ที่เป็นที่ นิยมจากระบบแฟ้ม ext2 โดยไม่ต้องสำรองและเรียกคืนข้อมูล

ระบบไฟล์ ext3 เพิ่มกว่ารุ่นก่อน :

โดยเหล่านี้ใดระบบไฟล์ ext3 เป็นระบบไฟล์ ext2 ถูกต้อง นี้ได้ดีผ่านการทดสอบและ บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค mature file (เช่น fsck) การรักษาและการซ่อม ext2 ระบบไฟล์ยังใช้กับ ext3 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ นอกจากนี้ยังทำให้การแปลง ระหว่างสองระบบแฟ้ม (ส่งทั้ง ext3 และ ext2 ย้อนกลับไป) ตรงไปตรงมา

มีสามระดับของ journalling สามารถในการใช้งานลินุกซ์ของ ext3 คือ

วารสารที่ metadata และเนื้อหา file จะเขียนบันทึกก่อนที่จะมุ่งมั่นในระบบแฟ้มหลัก นี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อ ถือในการลงโทษเนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะต้องมีการเขียนสองครั้ง

Writeback ที่ metadata เป็น journalled แต่ file เนื้อหาไม่ได้ นี้จะเร็วขึ้น แต่แนะนำอันตรายของออกตามคำสั่งของการเขียนที่เช่นไฟล์ถูกต่อท้ายในความผิด พลาดอาจได้รับหางของขยะที่ไปติด

สั่งเช่นเดียวกับ writeback แต่แรง file เนื้อหาที่จะเขียนหลังจาก metadata ที่สัมพันธ์กัน นี่คือความคิดที่จะประนี ประนอมระหว่างความน่าเชื่อถือและยอมรับได้ประสิทธิภาพและจึงจะเริ่มต้น

ข่าว ไอที 7

Samsung S7230E Wave 723


ซัมซุง เปิดตัวสมาชิกรุ่นต่อไปของครอบครัว Wave ส่งออกมาสู่ตลาดเป็นตัวล่าสุดของ Samsung นั้นคือน้องเล็ก Samsung S7230E Wave 723 ชื่อยาวมากค่ะ เอาเป็นว่าเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า Wave 723 ก็พอ ซึ่งมันมาพร้อมกับ ระบบปฏิบัติการ BADA OS ครอบทับด้วยอินเตอร์เฟซ TouchWiz UI 3.0 รองรับเครือข่าย 3G

เหมือนรุ่นพี่รุ่นก่อนหน้านี้ เพียงแต่มันย่อส่วนลงเล็กน้อย ด้วยความหนาของตัวเครื่องแค่ 109.5 x 53.9 x 11.8 mm ถือว่ากำลังดีสำหรับใครหลาย ๆ คน ส่วนฝ่าหลังเป็นโหละเงา สวยเชียว

ข้อมูลทั่วไป

ขนาด 109.5 x 53.9 x 11.8 มิลลิเมตร
น้ำหนัก (ยังไม่ระบุ)
เครือข่าย 2G : GSM 850/900/1800/1900 MHz
เครือข่าย 3G : 900/2100 MHz
เชื่อมต่อเครือข่าย GPRS , EDGE , HSDPA 7.2 Mbps , Wi-Fi 802.11 b/g/n
การเชื่อมต่อ Bluetooth 3.0 (A2DP) , Micro-USB (USB 2.0)
ช่องเชื่อมต่อชุดหูฟัง ขนาด 3.5 มิลลิเมตร
จอแสดงผล TFT 256K สี ระบบสัมผัส Capacitive
ความละเอียด 240 x 400 พิกเซล กว้าง 3.2 นิ้ว
ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล , ไฟแฟลช LED
ขนาดภาพถ่ายสูงสุด 2592 x 1944 พิกเซล
กำหนดวางจำหน่าย Samsung Wave 723 คือเดือนกันยายนนี้ในเอเชียและยุโรปเร็วมาก ราคา 240 ยูโร หรือแค่ 9,500 บาท ส่วนบ้านเราจะนำเข้ามาจำหน่ายหรือป่าวนั้น สาวกซัมชูงทั้งหลาย

ข่าว ไอที 6


Aircord Labs พัฒนาอุปกรณ์แสดงผลที่มีดีไซน์คล้ายพีระมิดใส สามารถสร้างภาพสามมิติลอยตัว ( 3D Hologram ) ขึ้นภายในได้ โดยใช้ iPad ทำหน้าที่สร้างภาพที่ต้องการ แม้ภาพโฮโลแกรม ที่เห็นจะใช้เทคนิคการสร้างภาพลวงตาแบบหนึ่ง และที่น่าทึ่งมากๆ ก็คือ มันสามารถมองเห็นส่วนต่างๆ ของภาพวัตถุสามมิติที่สร้างขึ้นได้จากแทบทุกมุมโดยไม่ต้องสวมแว่นตาแต่อย่าง ใด

ข่าว ไอที 5



ทันทีที่ไมโครซอฟท์ (Microsoft) นำเสนอ Technical Preview สำหรับ Windows Phone 7 ไปเมื่อต้นสัปดาห์ ล่าสุดทางบริษํทยังคงเดินเกมรุกหนักกับโอเอสสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ด้วยการแจกฟรี Windows Phone 7 กับพนักงานทั่วโลกร่วม 90,000 คน โดยเฉพาะพนักงานในแผนกขาย และประชาสัมพันธ์ที่มีหน้าที่ต้องติดต่อกับคู่ค้า และสื่อนอกบริษัท นับเป็นก้าวที่กล้าและน่าสนใจมากๆ สำหรับการตัดสินใจทุ่มทุนในครั้งนี้

ข่าว ไอที 4




แอมะซอน (Amazon) ประกาศเปิดตัว Kindle 3 เครื่องอ่านอีบุ๊ครุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่า เบากว่า และชัดกว่าเดิม พร้อมด้วยคุณสมบัติไร้สาย Wi-Fi ในราคาที่ถูกกว่า Nook Wi-Fi ของ B&N ขณะเดียวกัน Kindle 3 ยังมีรุ่นทีมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย 3G ที่มีราคาสูงกว่าด้วย Amazon หวังว่า Kindle 3 จะทำให้ตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊คเข้าสู่แมสได้

ข่าว ไอที 3



ความคืบหน้าล่าสุดของไอโฟนในขณะนี้ คือการที่เว็บไซต์ jailbreakme.com ประกาศความสำเร็จในการ “jailbreak” หรือการปลดล็อค iPhone 4 ซึ่งเพียงติดตั้งโปรแกรมปลดล็อคที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ดังกล่าว ผู้ใช้ iPhone 4 ก็จะสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากร้านค้าอื่นที่นอกเหนือจาก Apple App Store ได้อย่างเสรี
ต้องถือว่า jailbreakme.com เป็นเว็บไซต์แรกที่สามารถให้บริการปลดล็อคไอโฟนรุ่นล่าสุด ซึ่งเพิ่งเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากบล็อคนาม Dev-Team ระบุว่า ผลงานการปลดล็อค iPhone 4 นี้เป็นของแฮกเกอร์ชื่อ Comex ซึ่งเป็นคนแรกที่สามารถนำโปรแกรมปลดล็อคไอโฟนมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน หลังจากที่ไอโฟนรุ่นก่อนหน้านี้ ถูกหลายเว็บไซต์ประกาศให้บริการดาวน์โหลดโปรแกรมปลดล็อคมาระยะหนึ่งแล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากรัฐสภาสหรัฐฯระบุว่าการ ปลดล็อคหรือ jailbreak โทรศัพท์มือถือนั้นเป็นเรื่องถูกกฏหมาย แต่ผู้บริโภคจะต้องยอมรับความจริงที่ว่า การปลดล็อคจะทำให้แอปเปิลไม่คุ้มครองและยกเลิกการรับประกันความเสียหายตัว เครื่องโทรศัพท์ทันที

ข่าวไอที 2




ในที่สุดโฉมใหม่ของ Kaspersky 2011 ก็ออกเสียที กับโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาให้แฟน ๆ แอนติไวรัสค่ายนี้ได้ใช้กัน และเป็นที่แน่นอนว่า Product ใหม่ ๆ จะออกมาเป็นแพ็คคู่กันให้เลือกใช้ ซึ่งประกอบด้วย

•Kaspersky Anti-Virus 2011 (KAV)
•Kaspersky Internet Security 2011 (KIS) v

ข่าว ไอที 1




สำหรับท่านใดที่มีปัญหาดูฟุตบอลไม่ได้ วันนี้ผมมาแนะนำเว็บไซต์ที่ให้เรา ดูบอลผ่านอินเตอร์เน็ต ได้ ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ลีกาสเปน บุนเดสลีกาเยอรมัน ลีกเอิงฝรั่งเศส สกอตติชพรีเมียร์ลีก เซเรียอาอิตาลี แชมเปี้ยนชิพอังกฤษ เอเรดิวิซี่ฮอลแลนด์ ซาเกรสโปรตุเกส พรีเมียร์ลีกรัสเซีย พรีเมียร์ลีกยูเครน ซูเปอร์ลีกตุรกี ลีกา 1 สาธารณรัฐเช็ก บุนเดสลีกาออสเตรีย จูบิแลร์ลีกเบลเยียม ซูเปอร์ลีเก้นเดนมาร์ก ซูเปอร์ลีกสวิตเซอร์แลนด์ เอ็คสตรัคลาซ่าลีกโปแลนด์ เปอร์ว่าลีกา โครเอเชีย ไวค์เคาส์ลีกาฟินแลนด์ ซูเปอร์ลีกกรีซ ลีกา 1 ฮังการี ทิปเปลิเก้นนอร์เวย์ พรีเมียร์ลีกเวลส์ และลีกอื่นๆอีกมากมาย ให้ท่านดูผ่านอินเตอร์เน็ตได้ฟรี

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Information Systems)

หน้าที่ทางธุรกิจของการตลาดนั้นเกี่ยวข้องกับ การวางแผน การส่งเสริมการขายและการขายสินค้า รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และตลาดใหม่ๆ เพื่อให้บริการที่ดีกว่าแก่ลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าที่มีศักยภาพ ( ในการซื้อ) ในอนาคต ดังนั้น การตลาดจึงทำหน้าที่สำคัญในการจัดการธุรกิจการค้า องค์กรธุรกิจจะต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานด้านการตลาดที่สำคัญในอันที่จะต้องเผอิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
รูปที่ 10.5 ได้แสดงให้เห็นว่าระบบสารสนเทศทางการตลาดใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนองค์ประกอบที่สำคัญของภารกิจด้านการตลาด เช่น อินเทอร์เน็ต/ อินทราเน็ตเว็บไซท์และบริการการตลาดเชิงโต้ตอบ ได้ทำให้ลูกค้าสามารถมีส่วนในการสร้างสรรค์ การตลาด การจัดซื้อ และการปรับปรุงสินค้าและบริการ ระบบแรงขายอัตโนมัติ (Sale Force Automation Systems) ได้ใช้คอมพิวเตอร์พกพา ร่วมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการทำให้การประมวลผลของงานด้านส่งเสริมและจัดการด้านการขายเป็นอัตโนมัติ ระบบสารสนเทศทางด้านการตลาดอื่นๆ ได้ช่วยผู้จัดการด้านการตลาดในการวางแผนผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา การตัดสินใจในเรื่องการจัดการผลิตภัณฑ์ การโฆษณา กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย การวิจัยด้านการตลาด และการคาดการณ์ล่วงหน้าทางการตลาด


การตลาดเชิงโต้ตอบ ( Interactive Marketing)
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตได้ส่งผลกระทบสำคัญต่องานด้านการตลาด คำว่า การตลาดเชิงโต้ตอบ เป็นวลีใหม่ที่ใช้อธิบายการตลาดที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอ็กซ์ทราเน็ต เพื่อสร้างวิธีให้เกิดการโต้ตอบ 2 ทางระหว่างบริษัทและลูกค้า เป้าหมายของการตลาดเชิงโต้ตอบ คือ การที่ทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์จากการใช้เครือข่ายในการทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจและรักษาลูกค้าเหล่านั้นไว้ อันจะทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในการสร้างสรรค์ การจัดซื้อ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท


รูปที่ 10. 6 แสดงให้เห็นโครงสร้างบางประการของความแตกต่างระหว่างการตลาดเชิงโต้ตอบและรูปแบบอื่นๆของการตลาด โดยอินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นช่องทางหลักการแพร่กระจายสินค้าในสิ่งแวดล้อมด้านการตลาดแบบออนไลน์


รูปที่ 10. 6 เปรียบเทียบการตลาดเชิงโต้ตอบกับการตลาดขนาดใหญ่และระบบขายตรง
แรงขายอัตโนมัติ ( Sale Force Automation)
การเพิ่มจำนวนขึ้นของคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายทำให้เกิดปัจจัยพื้นฐานสำหรับแรงขับเคลื่อนการขายอัตโนมัติ ในหลายๆ บริษัท ใช้คอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ๊ค (Notebook) เว็บบราวเซอร์ และ ซอฟแวร์ด้านการจัดการติดต่อการขายเป็นเครื่องมือที่จะเชื่อมต่อกับเว็บไซท์การตลาดบนอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต และอินทราเน็ตของบริษัท วิธีนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มผลผลิตของพนักงานขายแต่ละคนเท่านั้น ยังเข้าถึงสารสนเทศการขายที่ได้รับจากภายนอกไปสู่ผู้จัดการด้านการขายที่สำนักงานใหญ่ทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
การจัดการการขายและผลิตภัณฑ์ (Sales and Product Management)
ผู้จัดการด้านการขายจะต้องมีการวางแผน ตรวจตรา และส่งเสริมงานด้านการขายของพนักงานขายในหน่วยงานของตน ดังนั้น องค์กรส่วนใหญ่จึงใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำรายงานการวิเคราะห์การขาย ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์การขายตามผลิตภัณฑ์ สายการผลิต ลูกค้า ประเภทของลูกค้า พนักงานขาย และเขตการขาย ช่วยให้ผู้จัดการฝ่ายการตลาดมองเห็นผลการปฏิบัติงานด้านการขายของผลิตภัณฑ์และพนักงานขาย
การโฆษณาและส่งเสริมการขาย (Advertising and Promotion)
ผู้จัดการด้านการตลาดพยายามที่จะขายผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุดโดยใช้ค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ระบบสารสนเทศด้านการตลาดใช้สารสนเทศด้านการวิจัยการตลาดและแบบจำลองด้านการส่งเสริมการขายเพื่อช่วย 1) เลือกสื่อและวิธีการในการส่งเสริมการขาย 2) จัดสรรแหล่งงบประมาณ 3) ควบคุมและประเมินผลของการโฆษณาและส่งเสริมการขาย
เป้าหมายทางการตลาด (Targeted Marketing)
เป้าหมายทางการตลาดกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ในการโฆษณาและส่งเสริมการขายบนเว็บไซท์เพื่อการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของบริษัท รูปที่ 10.10 แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายทางการตลาดเป็นแนวคิดในการจัดการด้านการโฆษณาและการขาย ซึ่งมีองค์ประกอบที่เป็นเป้าหมาย 5 ประการ
• ประชาคม (Community) บริษัทสามารถจำแนกข้อความโฆษณาบนเว็บ และวิธีการส่งเสริมการขายเพื่อที่จะเข้าถึงคนในกลุ่มที่เฉพาะเจาะจง ที่อาจเรียกว่าเป็น กลุ่มของคนที่สนใจ (Communities of Interest) เช่น ชุมชนเสมือน (Virtual Communities) ของผู้ที่สนใจด้านกีฬา ด้านศิลปะและหัตถกรรมหรือกลุ่มด้านภูมิศาสตร์
• เนื้อหา (Content) การโฆษณาแบบป้ายโฆษณาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Billboards) หรือแถบป้าย (Banner) ที่สามารถวางไว้บนหน้าเว็บไซท์ต่างๆได้ นอกเหนือไปจากบนหน้าแรก (Home Page) ของบริษัท ข้อความเหล่านี้สามารถดึงดูดผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เช่น โฆษณาของภาพยนตร์บนหน้าแรกของ เครื่องมือสืบค้น (Search Engine ) บนอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
• บริบท (Context) โฆษณาที่ปรากฏบนเว็บไซท์ มักครอบคลุมผลิตภัณฑ์และการบริการ ดังนั้นโฆษณาจึงมุ่งไปที่กลุ่มคนซึ่งกำลังมองหาสารสนเทศในเรื่องนั้นอยู่แล้ว ( เช่น สารสนเทศการท่องเที่ยว) ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีอยู่พอดี ( เช่น บริการรถให้เช่า)
• ประชากรศาสตร์/จิตวิทยา ( Demographic/Psychographic) การตลาดได้พยายามที่จะพุ่งเป้าไปยังประเภทของกลุ่มของคนที่เฉพาะเจาะจง เช่น คนที่ยังไม่ได้แต่งงาน คนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป คนที่มีรายได้ระดับกลาง ผู้ชายที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นต้น
• พฤติกรรมออนไลน์ (Online Behavior) การโฆษณาและส่งเสริมการขายได้พยายามที่จะเจาะสารสนเทศการเข้าใช้เว็บไซท์ของผู้ใช้แต่ละคน กลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับเว็บคุกกี้ (Web Cookies) ซึ่งเก็บสารสนเทศของผู้เข้าใช้จากการเข้าเยี่ยมชมครั้งก่อน แฟ้มข้อมูลของคุกกี้จะตามรอยพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมออนไลน์บนเว็บไซท์ ดังนั้น ความพยายามทางการตลาด จึงสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและสามารถพุ่งเป้าหมายไปยังการเข้าชมเว็บไซท์ของแต่ละบุคคลได้


ที่ 10. 10 องค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการของเป้าหมายทางการตลาดสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บนเว็บ

การวิจัยทางการตลาดและการคาดการณ์ (Market Research and Forecasting)
ระบบสารสนเทศด้านการวิจัยทางการตลาดทำให้เกิดการตลาดที่ชาญฉลาด (Market Intelligence) ช่วยให้ผู้จัดการคาดการณ์ทางการตลาดได้ดีขึ้นและพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบสารสนเทศทางการตลาดช่วยให้นักวิจัยการตลาดรวบรวม วิเคราะห์ และดูแลสารสนเทศจำนวนมหาศาลของการตลาดที่มีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงสารสนเทศเกี่ยวกับลูกค้า ลูกค้าในอนาคต ผู้บริโภค และคู่แข่งขัน

อ้างอิง http://www.no-poor.com/misandflash/mis_ch10.htm


จัดทำโดย
นายวีระยุทธ สุสม
49043494343
sec.01
วิชา ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้

ความรู้คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ให้นิยามว่า ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขาซึ่งในความคิดของผู้นั้นคิดว่า นิยามของคำว่า ความรู้ นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะกำหนดขอบเขตของความหมาย แต่ถ้าเราเริ่มจากคำว่า "ข้อมูล" หรือ "ข้อเท็จจริง" สิ่งที่ได้คือความจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น การดำเนินการต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อมูล เช่น เมื่อเรามีการซื้อขายสินค้า ก็มีการจดบันทึกหลักฐาน เช่น การออกใบเสร็จ ใบสั่งของ เอกสารกำกับ เป็นรายการแสดงการดำเนินการ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าข้อมูล ข้อมูลจึงเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการทั้งในระดับส่วนตัว ระดับการทำงานร่วมกัน และระดับกลุ่ม องค์กร ตลอดจนระดับสังคม และชุมชนต่าง ๆ และความรู้นั้นก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในสมอง ( Tacit Knowledge ) อาจเรียกง่ายๆ ว่า ความรู้ในตัวคน ได้แก่ ความรู้ที่เป็นทักษะ ประสบการณ์ ความคิดริเริ่ม พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของบุคคลในการทำความเข้าใจ สิ่งต่างๆ บางครั้งเรียกว่าความรู้แบบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge ) อาจเรียกว่าความรู้นอกตัวคน เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่นการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหนังสือ ตำราเอกสาร กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน เป็นต้น บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม จากการสำรวจในต่างประเทศ พบว่า แหล่งเก็บความรู้ในองค์กรหรือคลังความรู้ขององค์กรมีอยู่ในเอกสาร ( กระดาษ ) 26% ในเอกสารอิเล็กทรอนิคส์ 20% ในฐานความรู้ ( IT ) 12% และมากที่สุดอยู่ในสมองพนักงานถึง 42% ขณะเดียวกันก็มีผลสำรวจผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศ สหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับประโยชน์และความสำคัญของการจัดการความรู้พบว่า 80% เห็นว่าการจัดการความรู้ช่วยให้ตนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่ประเด็นทางด้านอื่นๆ ได้รับความสำคัญรองๆ ลงมา
อ้างอิง : http://learners.in.th/blog/radchanee-main/2596









"ความรู้ฝังลึก" (tacit knowledge) หมายถึงความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล ซึ่งสั่งสมมานาน เป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต แต่เป็นความรู้ที่ไม่ได้บอกออกมาชัดแจ้ง คนทุกคนมีความรู้นี้มากน้อยต่างกัน บางคนลึกซึ้งมาก พ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนเฒ่าคนแก่ล้วนแต่มีความรู้ดังกล่าว จึงสามารถอยู่รอดมาได้ และเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานให้โตเป็นผู้เป็นคน คนในปัจจุบันทั่วไปต่างก็มีความรู้ความชำนาญที่แตกต่างกันไป พวกเขาไม่ได้บอกได้สอนใคร แต่สังเกตดูให้ดีก็จะเห็นความรู้ความชำนาญนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนขายข้าวแกง ขายก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ไก่ย่าง ข้างถนน เขาได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์จำนวนหนึ่ง ทำจนเกิดความชำนาญ และอาจมีความรู้บางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ เป็น "สูตรเด็ด-เคล็ดลับ" ของแต่ละคน เมื่อมีการถ่ายทอดให้ปรากฎก็กลายเป็น "ความรู้ชัดแจ้ง" (explicit knowledge) เกิดเป็นระบบความรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิต กับความรู้อื่นๆ สามารถเรียนรู้ สื่อสารกันและถ่ายทอดไปสู่คนอื่นได้ เรื่องความรู้สองอย่างนี้เห็นพูดกันพักหนึ่งแล้ว คงเป็นอีกมิติหนึ่งของเรื่องความรู้ ทฤษฎีความรู้ (Epistemology - ญาณวิทยา) ซึ่งมีมาตั้งแต่มีปรัชญาเมื่อคนถามว่า คนรู้ได้อย่างไร ความรู้เป็นอะไร สัมพันธ์กับชีวิตอย่างไร สัมพันธ์กับการมองโลกความเป็นจริงอย่างไร เป็นต้น ทฤษฎีความรู้เป็นหัวใจของทฤษฎีต่างๆ ทางสังคม เป็นฐานคิดเพื่อการอธิบายโลก อธิบายชีวิต ที่มาของแนวคิดทฤษฎีของวิชาการต่างๆ เรื่องความรู้ก็เปรียบได้กับ "สินทรัพย์"(asset) และ "ทุน"(capital) ซึ่งเรามักจะคิดถึงแต่สินทรัพย์และทุนที่เป็นเงิน ซึ่งคล้ายกับ "ความรู้ชัดแจ้ง" ในขณะที่สินทรัพย์และทุนของชุมชน คนท้องถิ่นมีมากกว่าเงินมากนัก แต่สินทรัพย์และทุนเหล่านั้น "ฝังลึก" ทำอย่างไรจะเอาสินทรัพย์และทุนท้องถิ่นที่ฝังลึก (tacit asset - tacit capital) ขึ้นมาให้ปรากฎชัดแจ้ง (explicit asset - explicit capital)

mbination, และ Internalization สำหรับ Socialization คือ การแบ่งปันและสร้าง Tacit Knowledge ด้วยการสื่อสารระหว่างกันในสิ่งที่เป็น Tacit Knowledge ของผู้ที่สื่อสารกัน ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรง เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้าและผู้รับจ้างช่วง หรือลักษณะ "การจัดการด้วยการเดินเยี่ยมในที่ทำงาน" (Management by walking around, MBWA) เมื่อมีการแบ่งปันข้อมูลด้วยกระบวนการทางสังคมดังกล่าวแล้ว จะทำให้เกิดความคิด ใหม่ ๆ และความตระหนัก ถึงข้อมูลใหม่ ๆ ที่เปิดเผยออกมาและควรได้มีการเปลี่ยนให้เป็นรูปของภาษา ซึ่งก็คือ Explicit Knowledge กระบวนการลักษณะนี้เรียกว่า Externalization จากนั้น จะต้องมีการรวมตัวอย่างที่ได้เรียนรู้ของ Explicit Knowledge เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้ใหม่จากการกระทำดังกล่าว ในขั้นนี้ระบบสารสนเทศจะมีบทบาทสำคัญมาก ลักษณะการสร้างความรู้ขั้นสุดท้าย คือ ขั้น Internalization ซึ่งเป็นการนำความรู้ไปปฏิบัติทำให้มีการแปลง Explicit Knowledge ให้เป็น Tacit Knowledge โดยจะมองเห็นเป็นเทคโนโลยี สินค้า บริการ และการแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้า และการมีปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าก็จะนำกระบวนการกลับไปสู่วงจรเดิม คือ ขั้นแรกของการสร้างความรู้ คือ Socialization อีก

อ้างอิง :: http://www.phongphit.com/index.phpoption=com_content&task=view&id=173&Itemid=62

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)

องค์การเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นแนวคิดในการพัฒนาองค์การโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้สภาวะของการเป็นผู้นำในองค์การ (Leadership) และการเรียนรู้ร่วมกัน ของคนในองค์การ (Team Learning) เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะร่วมกัน และพัฒนาองค์การอย่างต่อเนื่องทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน
การมีองค์การแห่งการเรียนรู้นี้จะทำให้องค์การและบุคลากร มีกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล โดยมีการเชื่อมโยงรูปแบบของการทำงานเป็นทีม (Team working) สร้างกระบวนการในการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจเตรียมรับกับความเปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสให้ทีมทำงานและมีการให้อำนาจในการตัดสินใจ (Empowerment) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศของการคิดริเริ่ม (Initiative) และการสร้างนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะทำให้เกิดองค์การที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญกับสภาวะการแข่งขัน
Learning Organization หรือ การทำให้องค์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นคำที่ใช้เรียกการรวมชุดของความคิดที่เกิดขึ้นมาจากการศึกษาเรื่องขององค์การ Chris Argyris ได้ให้แนวคิดทางด้าน Organization Learning ร่วมกับ Donald Schon ไว้ว่า เป็นกระบวนการที่สมาชิกขององค์การให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก ด้วยการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในองค์การ
ความรู้จาก Organization Learning เป็นหลักการที่ Peter Senge ได้รวบรวมจากแนวคิดของ Chris Argyris และ Donald Schon รวมถึงนักวิชาการท่านอื่น มาเขียนหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับ Learning Organization ซึ่งมีชื่อว่า .”The Fifth Discipline”
แนวคิดของ Learning Organization
Chris Argyris และ Donald Schon ได้ให้คำนิยามการเรียนรู้สองรูปแบบที่มีความสำคัญในการสร้าง Learning Organization คือ Single Loop Learning ( First Order / Corrective Learning) หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแก่องค์การเมื่อการทำงานบรรลุผลที่ต้องการลักษณะการเรียนรู้แบบที่สองเรียกว่า Double Loop Learning (Second Oder/Generative Learning)หมายถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่ต้องการให้บรรลุผลหรือเป้าหมายไม่สอดคล้องกับผลการกระทำ
Peter Senge เชื่อว่าหัวใจของการสร้าง Learning Organization อยู่ที่การสร้างวินัย 5 ประการในรูปของการนำไปปฏิบัติของบุคคล ทีม และองค์การอย่างต่อเนื่อง วินัย 5 ประการที่เป็นแนวทางสนการปฏิบัติเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ทั้งองค์การมีดังนี้
1. Personnal Mastery : มุ่งสู่ความเป็นเลิศ และรอบรู้ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ไปถึงเป้าหมายด้วย การสร้างวิสัยทัศน์ส่วนตน (Personal Vission) เมื่อลงมือกรทำและต้องมุ่งมั่นสร้างสรรจึงจำเป็นต้องมี แรงมุ่งมั่นใฝ่ดี (Creative Tention) มีการใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ (Commitment to the Truth) ที่ทำให้มีระบบการคิดตัดสินใจที่ดี รวมทั้งใช้การฝึกจิตใต้สำนึกในการทำงาน (Using Subconciousness) ทำงานด้วยการดำเนินไปอย่างอัตโนมัติ
2. MentalModel มีรูปแบบวิธีการคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง ผลลัพธ์ที่จะเกิดจากรูปแบบแนวคิดนี้จะออกมาในรูปของผลลัพธ์ 3 ลักษณะคือ เจตคติ หมายถึง ท่าที หรือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใด ๆ ทัศนคติแนวความคิดเห็นและกระบวนทัศน์ กรอบความคิด แนวปฏิบัติที่เราปฏิบัติตาม ๆ กันไป จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์การ
3. Shared Vission การสร้างและสานวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์องค์การ เป็นความมุ่งหวังขององค์การที่ทุกคนต้องร่วมกันบูรณาการให้เกิดเป็นรูปธธรรมในอนาคต ลักษณะวิสัยทัศน์องค์การที่ดี คือ กลุ่มมผู้นำต้องเป็นฝ่ายเริ่มน้นเข้าสู่กระบวนการพัฒนาวิสัยทัศน์อย่างจริงจัง วิสัยทัศน์นั้นจะต้องมีรายละเอียดชัดเจน เพียงพอที่จะนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติได้ วิสัยทัศน์องค์การต้องเป็นภพบวกต่อองค์การ
4. Team Learn การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม องค์การความมุ่งเน้นให้ทุกคนในทีมมีสำนึกร่วมกันว่า เรากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไป ทำอย่างไร จะช่วยเพิ่มคุณค่าแก่ลูกค้า การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทึมขึ้นกับ 2 ปัจจัย คือ IQ และ EQ ประสานกับการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทึม และการสร้างภาวะผู้นำแก่ผู้นำองค์การทุกระดับ
5. System Thinking มีความคิดความเข้าใจเชิงระบบ ทุกคนควรมีความสามารถในการเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนอกจากมองภาพรวมแล้ว ต้องมองรายละเอียดของส่วนประกอบย่อยในภาพนั้นให้ออกด้วย วินัยข้อนี้สามารถแก้ไขปัญหาที่สลับซับซ้อนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ข้อจำกัดในการปรับใช้แนวคิดของ Learning Organization
Model ของ Learning Organization ไม่ได้เจาะจงวัฒนธรรมองค์การใดองค์การหนึ่งและไม่ได้วิเคราะห์ถึงข้อจำกัดด้านวัฒนธรรมองค์การทำให้ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง กระบวนการในการนำ Learning Organization ไปใช้ยังไม่ชัดเจนขาดคนที่รู้จริง
ขอบเขตของการนำ Learning Organization กว้างมากทำให้ควบคุมได้ยาก ดัชนีที่ใช้วัดองค์การที่มีความเป็น Learning Organization ไม่ชัดเจน และการใช้เวลายาวนานในการมุ่งไปสู่การเป็น Learning Organization ทำให้ขาดกำลังใจ และหากมีการเปลี่ยนผู้นำ ความสนใจที่จะกระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงของพนักงานในองค์การจะหายไป องค์ประกอบสำคัญของ Learning Organization จากมุมมองแบบCapability Perspective ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีองค์การจำนวนมากที่พูดถึงแนวคิดของ Learning Organization แต่ยังขาดแนวทางและขั้นตอนที่ชัดเจนที่จะทำให้องค์การสามารถไปสู่ Learning Organization ได้อย่างแท้จริง โดยนักเขียนจำนวนมากได้พยายามคิดค้นหาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ทั่วทั่งองค์การ และสภาปนาองค์ประกอบเหล่านี้ไม่ครบถ้วนก็ยากที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็น Learning Organization ได้อย่างสมบูรณ์
Peter Senge เป็นคนหนึ่งที่กำหนดองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับ Learning Organizationโดยร่วมกับทีมงานสรรหาองค์ประกอบที่จำเป็นจากหลายบริษัทในสหรัฐอเมริกา และค้นพบวินัย 5 ประการ ที่จำเป็นสำหรับการที่จะทำให้องค์การนั้น ๆ กลายเป็น Learning Organization
โดยการนำแนวคิดของ Senge ทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์ ด้าน Learning Organization ที่มีผู้รู้จักมากที่สุด ต่อมา Nevis และทีมงาน ได้นำเสนองานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้เปลี่ยนแนวคิดกับการพัฒนา Learning Organization ไปอย่างสิ้นเชิง และได้สรุปพื้นฐานที่สำคัญต่อการ Learning Organization ไว้ 4 ประการ
องค์การทุกแห่งมีระบบการเรียนรู้ของตนเอง (All Organization Are Learning System)
รูปแบบการเรียนรู้ขององค์การสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์การ (Learning Comforms to Culture)
รูปแบบการเรียนรู้ผันแปรตามระบบการเรียนรู้ขององค์การ (Style Varies between Learning System)
มีกระบวนการพื้นฐานที่สามารถใช้เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ขององค์การ (Generic Processes Facilitate Learning)
มุมมองที่สองนี้ได้มององค์การในทางบวกซึ่งตรงข้ามกับมุมมองแรกโดยได้มองว่าสิ่งที่องค์การควรทำเพื่อเสริมสร้างให้เกิด Learning Organization คือ การสร้างความแข็งแกร่งให้กับรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์การ การนำเอาวิธรการเรียนรู้แบบใหม่เข้าสู่องค์การจะต้องมีการพิจารณาว่าเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์การหรือไม่ และจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อรูปแบบการเรียนรู้ปัจจุบันไม่สามารถสร้างความได้เปรียบเชิบธุรกิจเหนือคู่แข่งทั้งในปัจจุบันและในอนาคนแล้วเท่านั้น โดยที่ Div Bella และ Nevis ได้เรียกมุมมองที่สองนี้ว่า Capability Perspective คือ เป็นการสร้าง Learning Organization จะขึ้นอยู่กับสมรรถภาพขององค์การเป็นหลักและเรียกมุมมองแบบที่หนึ่ง Normative Perspective คือ ไม่ว่าจะเป็นองค์การใดแนวทางการสร้าง Learning Organization จะเป็นแบบเดียวกันหมด ซึ่งจะมีปัญหาก็คือองค์การมีความเสี่ยงต่อการต่อต้านจากพนักงานสูงมาก และระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนอาจใช้เวลานาน ทั้งนี้เนื่องมาจากองค์การแต่ละองค์การมีวัฒนธรรมองค์การที่าแตกต่างกัน การพยายามเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้อย่างสิ้นเชิงย่อมทำได้ยากและใช้ระยะเวลานานในการพัฒนาองค์การ
องค์ประกอบขององค์การแห่งการเรียนรู้
องค์การแห่งการเรียนรู้ คือ การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของคนทำงานบนพื้นฐานของการเรียนรู้ (Learning Base) โดยมีกระบวนการ ดังนี้
1. กำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในเชิงปฏิบัติการ คือ
1.1 กลยุทธ์ชี้นำ (Surge Strategy) โดยคณะผู้บริหารระดับสูงร่วมรับผิดชอบและสนับสนุน
1.2 กลยุทธ์ปลูกฝัง(Cultivate Strategy) โดยให้คณะทำงานในสายงานด้านทรัพยากรบุคคลเป็นผู้รับผิดชอบ
1.3 กลยุทธ์ปฏิรูป (Transform Strategy) โดยคณะทำงานพิเศษจากทุก ๆ หน่วยงานในองค์การมาร่วมกันรับผิดชอบดำเนินการ
2. กำหนดแผนงานให้ชัดเจน ดังนี้
2.1 ปรับโครงสร้างในการบริหารให้เป็นการทำงานแบบทีม
2.2 จัดทำแผนทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับโครงสร้างในการบริหารงานให้มีลักษณะเป็นหารทำงานเป็นทีม โดยวางแผนพัฒนาองค์ความรู้ โดยการฝึกอบรม และพัฒนาประสบการณ์พร้อมทักษะจากการเรียนรู้ในที่ทำงาน
2.3 จัดทำแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ประกอบการฝึกอบรม และการเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ เช่น ห้องฝึกอบรม ห้องประชุม โสตทัศนูปกรณ์ เป็นต้น
3. เปิดโอกาสให้ทุกคนได้รับรู้กลไกของการพัฒนาและผลกระทบทุก ๆ ด้านที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง
4. พัฒนาพื้นฐานสำคัญขององค์การเรียนรู้ดังนี้
4.1 มุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Personal Mastery) เพื่อให้เก่งในทุก ๆ ด้าน เก่งในการเรียนรู้ เก่งคิด เก่งทำ มีไหวพริบปฏิภาณ มีความเพียรพยายามตั้งแต่เยาว์วัยและใฝ่รู้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อให้สอดคล้องกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งเป็นโลกแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based) ที่ต้องมีการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต โดยมีการคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้
การสร้างวิสัยทัศน์ส่วนตน (Personal Vission) ซึ่งได้แก่ความคาดหวังของแต่ละคนที่ต้องการจะให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงในชีวิตของตน
มุ่งมั่นสร้างสรรค์ (Creative Tension) มีความขยัน ใฝ่ดี มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา
ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจ เพื่อให้มีระบบคิด และการตัดสินใจที่ดี
ฝึกใช้จิตใต้สำนึก (Subconcious) สั่งงาน เพื่อให้กากรทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ และได้ผลงานที่ดี
4.2 รูปแบบวิธีการคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง (Mental Model) ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่ได้สะสมมาตั้งแต่เด็กกับพื้นฐานของวุฒิภาวะทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล ทำให้ความคิดและความเข้าใจของแต่ละคนแตกต่างกัน และหากปล่อยให้ต่างคนต่างคิดจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะมีการยึดติด กับรูปแบบและวิธีการที่ตนเองคุ้นเคย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว
4.3 การสร้างและสานวิสัยทัศน์ (Share Value) ให้ทุกคนได้รู้ได้เข้าใจ จะได้สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม โดยมีการนำวิสัยทัศน์ที่ได้สร้างขึ้นมาเป็นเป้าหมายของการกำหนดแผนกลยุทธ์ เพื่อสานให้วิสัยทัศน์เป็นจริงด้วยแผนการปฏิบัติต่อไป
4.4 การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learn) เป็นการเน้นการทำงานเป็นทีมโดยให้ทุกคนในทีมงานใช้วิจารณญาณร่วมกันตลอดเวลาว่า กำลังทำงานอะไร จะทำให้ดีขึ้นอย่างไร เป็นการเรียนรู้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลสามัคคี ขยันคิด ขยันเรียนรู้ และขยันทำด้วยความเชื่อว่าการเรียนรู้ในลักษณะนี้จะช่วยเสริมสร้างอัจฉริยะภาพของทีมงาน
4.5 ความคิดความเข้าใจเชิงระบบ (System Thinking) เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ทำให้มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาพรวม จะได้สามารถเผชิญกับภาวะวิกฤติ และการแข่งขันได้
5. พัฒนาพนักงานในระดับผู้นำองค์การ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าโครงการ หรือหัวหน้าทีมงาน ให้มีความเข้าใจบทบาทของผู้นำในองค์การเรียนรู้จะได้มีการปฏิบัติติให้มีคุณลักษณะเป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ และเป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้อื่นในการปฏิบัติงานให้ราบรื่น
6. มอบหมายพันธกิจ (Mision) และกระบวนงานต่าง ๆ แก่ทีมงานเพื่อให้สามารถบริหารและรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ เป็นการเพื่ออำนาจให้แก่พนักงาน จะได้เกิดความคล่องตัว
7. สร้างวัฒนธรรมองค์การด้านการพัฒนา และปรับปรุงงานให้ดีขึ้นตลอดเวลา
8. ทำการประเมินผล (Assessment) เพื่อปรับปรุงผลงานเสมอ
Learning Organization transformation Process
ในการพัฒนา Learning Organization ในเชิง Capability Perspective ในมุมมองของ DI bella&Schein ที่เป็นรูปธรรมประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ
ขั้นที่ 1 การวินิจฉัยวัฒนธรรมองค์การและประเมินรูปแบบการเรียนรู้ มีหลายองค์การที่ประสบความล้มเหลวจาการนำโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อสร้าง Learning Organization เข้ามาใช้โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์การ ทั้งปัญหาการต่อต้านจากพนักงาน หรือการไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ถึงแม้จะจบสิน้นโครงการไปแล้วก็ตาม หาไม่ได้รับการวิเคราะห์ คัดเลือก วางแผน และจัดการอย่างเหมาะสม
การปรับเปลี่ยนไปสู่ Learning Organization ที่มีวัฒนธรรรมการเรียนรู้อย่างยั่งยืนย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน การประเมินสถานะปัจจุบันประกอบด้วย 2 ส่วน คือการวินิจฉัยวัฒนธรรมองค์การ และการประเมินรูปแบบการเรียนรู้
การวินิจฉัยวัฒนธรรมองค์การ (Culture Diagnosis) ได้แบ่งวัฒนธรรมองค์การออกเป็น 3 ระดับ ในระดับแรกคือ Artifacts โดยสามารถเรียนรู้ได้จากการสังเกตด้วยตา เช่น การจัดการแผนผัง (Layout) ของบริษัท การแต่งกายของพนักงาน
ระดับที่ 2 คือ Espaused Values เป็นค่านิยมที่ทุกคนในองค์การสื่อถึงกันว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดูกต้องควรทำ ซึ่งโดยมากจะถูกกำหนดโดยผู้นำขององค์การตั้งแต่ยุคก่อตั้งบริษัท
ระดับที่ 3 คือ Basic Underlining Assumtion เป็นความเชื่อ การรับ ความคิด และความรู้สึกที่กำหนดพฤติกรรมของคนในองค์การและเป็นระดับที่ยากที่สุดในการทำความเข้าใจและดึงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม
Schein ได้ยกตัวอย่างค่อนข้างชัดเจนที่เกี่ยวกับความซับซ้อนในการประเมินวัฒนธรรมองค์การที่จะเข้าใจวัฒนธรรมองค์การอย่างแท้จริง จะสามารุทำได้โดยการสัมภาษณ์เท่านั้น เช่นบริษัทแห่งหนึ่งมีการจัดสำนักงานแบบเปิด (Open Space)ซึ่งแสดงให้เห็นArtifacts ที่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะองค์การให้ความสำคัญกับค่านิยม Team Work และ Communication (Espaused Values)
แต่เมื่อได้สัมภาษณ์กับพนักงานหลัก ๆ ที่อยู่กับองค์การมานานกลับพบว่าระบบการประเมินผลงาน ให้รางวัลและการเลื่อนตำแหน่ง ล้วนผูกกับความสามารถส่วนบุคคลทั้งสิ้น จึงทำให้ทราบว่า Basic Underlining Assumption นั้นแท้จริงแล้วกลับเน้นที่การทำงานเพื่อปัจเจกบุคคลเป็นหลัก
การประเมินรูปแบบการเรียนรู้ (Learning Orientation Assessment)
การพิจารณารูปแบบการเรียนรู้ขององค์การ (Learning Orientation) นับเป็นขึ้นตอนที่สำคัญที่ต้องทำทันทีควบคู่กันไปกับการวินิจฉัยวัฒนธรรมองค์การ โดยองค์การจะเลือกรูปแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสมรรถภาพขององค์การ โดยทั่วไปมีอยู่ด้วยกัน 7 ประเภท คือ
1.วิธีการหาความรู้ (Knowledge Source)
2.โฟกัสที่เนื้อหาหรือที่กระบวนการ (Content -process Focus)
3.การเก็บความรู้ (Knowledge Reserve)
4.วิธีการเผยแพร่ความรู้ (Dissemination Mode)
5.ขอบเขตการเรียนรู้ (Learning Scope)
6.Value Focus
7.Learn Focus
รูปแบบการเรียนรู้เหล่านี้ไม่มีสูตรสำเร็จว่าอะไรคือรูปแบบที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นโครงสร้างที่ช่วยให้ทราบว่าองค์การมีการเรียนรู้อย่างไร (How Organization Learn)
ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ และการพัฒนากลยุทธ์เพื่อสร้าง Learning Organization
แนวทางหนึ่งที่นิยมใช้ คือ SWOT ซึ่งเป็นการวิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรร เพื่อดูว่าโครงสร้างองค์การในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือไม่ แนวทางการพัฒนา Learning Organization คือการทำให้วิธีการเรียนรู้ที่องค์การใช้อยู่มีความแข็งแกร่งจนคู่แข่งตามไม่ทันกลยุทธ์ที่ใช้ในการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้มีดังต่อไปนี้
1. เน้นการปรับปรุง Facilitating Factors ในกรณีที่วัฒนธรรมองค์การและรูปแบบการเรียนรู้ ทำให้เกิดความได้เปรียบในทางธุรกิจ
2. เน้นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์การและรูปแบบการเรียนรู้ควบคู่กับการปรับปรุง Facilitating Factors
ในกรณีที่วัฒนธรรมองค์การและรูปแบบการเรียนรู้กลายเป็นจุดอ่อนขององค์การ
ขั้นที่ 3 กระบวนการปรับเปลี่ยนไปสู่ Learning Organization ครอบคลุม 2 วิธีการ คือ
การปรับปรุง Facilitating Factors แบ่งเป็น 10 แนวทาง คือ
1.Scanning Imparative การกระตุ้นให้พนักงานองค์การกระตือรือร้นเพื่อหาข้อมูลภายนอกองค์การ
2.Concern for Measurement การทำให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของผลต่างระหว่างระดับการปฏิบัติที่เป็นอยู่
3.Performance Gap การทำให้ทุกคนตื่นตัวและเห็นความสำคัญของผลต่างระหว่างระดับการปฏิบัติที่เป็นอยู่
4.Organization Curiousity การทำให้เกิดบรรยากาศในการทดลองความคิดใหม่ ๆ
5.Climate of Openness การทำให้หน่วยงานต่าง ๆ เชื่อใจซึ่งกันและกัน
6.Contious Education การสนับสนุนให้เกิดการศึกษาอย่างต่อเนื่องในหมู่พนักงาน
7.Operational Variety การทำให้พนักงานยอมรับวิธีการทำงานใหม่ ๆ
8.Multiple Leadership การทำให้เกิดผู้สนับสนุนในการเรียนรู้ เริ่มจากผู้จัดการในแต่ละส่วนงาน
9.Innovation Leadership การให้ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของพนักงานเพื่อสนับสนุนในทุกกิจกรรม
10.System Perspective การทำให้มองเห็นภาพการทำงานของทุกหนวนในองค์การอย่าเป็นระบบ เช่น การใช้ Job Rotation

นายวีระยุทธ สุสม
49043494343
sec.02
วิชา ระบบสารสนเทศเพื่อบริหารงานบุคคล
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=wbj&month=07-12-2007&group=29&gblog=11

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์หมายถึงภาษาใดๆที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกันแล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกันยกตัวอย่างเช่นHTMLเป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วยแม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือภาษาระดับสูง(highlevel)และภาษาระดับต่ำ(low level)ภาษาระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล(compile)ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไปซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด(object code) แล้วเปลี่ยนให้เป็นชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง
ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือภาษาที่มนุษย์อ่านออก(human-readable)และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก(nonhuman-readable)ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์(แทบทุกชนิดเป็นภาษาอังกฤษ)ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วนที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้แต่ออกแบบมาเพื่อให้โค้ดกระชับซึ่งคอมพิวเตอร์จะสามารถประมวลผลได้ง่ายกว่า
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึงโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์เขียนเพื่อใช้สั่งงานตามรูปแบบและโครงสร้างของภาษาซึ่งแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้คือ
ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) เป็นภาษาที่มนุษย์ทำความเข้าใจได้ยาก ส่วนใหญ่ต้องมความเข้าใจเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดแวร์เป็นอย่างดีจึงจะสามารถ
เขียนโปรแกรมสั่งงานได้ มีข้อดีในส่วนที่เขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์ แต่ละส่วนได้โดยตรงจึงทำงานได้เร็วแต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในการพัฒนาโปรแกรมตัวอย่างของภาษาระดับต่ำได้แก่ภาษาเครื่อง(MachineLanguage)และภาษาแอสเซมบลี้ (Assembly Language) เป็นต้น
ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะมีลักษณะเป็นภาษาแบบโครงสร้าง ทำความเข้าใจได้ เหมือนกับภาษาระดับสูง แต่ทำงานได้รวดเร็วเหมือนกับภาษาระดับต่ำ สามารถใช้บนเครื่องที่มีความเร็วต่างกันโดยไม่ต้องดัดแปลงภาษาระดับกลางได้นำข้อดีของภาษาระดับต่ำ และระดับสูงมาพัฒนาเป็นภาษาระดับกลางดังนั้นภาษาระดับกลางจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ตัวอย่างของภาษาระดับกลางได้ภาษาซี เป็นต้น
ภาษาระดับสูง (High Level Language)เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะ ของการใช้คำสั่งเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มาก การสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน จะต้องมีการแปลความหมายของคำสั่ง โดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคำสั่งที่เรียกว่า Interpreter หรือ แปลครั้งเดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า Compiler
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาโปรแกรม คือภาษาประดิษฐ์ที่สามารถใช้ควบคุมกำหนดพฤติกรรมการทำงานของเครื่องจักรได้ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมก็เหมือนภาษามนุษย์ที่จะต้องใช้วากยสัมพันธ์ (syntax)และความหมาย (semantic)เพื่อกำหนดโครงสร้างและตีความหมายตามลำดับ ภาษาโปรแกรมช่วยให้การสื่อสารในภารกิจสารสนเทศสะดวกมากขึ้นและถูกต้องแม่นยำตามขั้นตอนวิธี (algorithm) ในโลกนี้มีภาษาโปรแกรมมากกว่า 8,500 ภาษาที่แตกต่างกันไปและก็ยังมีภาษาใหม่เกิดขึ้นทุกๆ ปี ผู้ที่ใช้งานภาษาโปรแกรมเพื่อเขียนโปรแกรมเรียกว่า โปรแกรมเมอร์ (programmer)
ลักษณะของภาษาโปรแกรม
ภาษาโปรแกรมแต่ละภาษาสามารถพิจารณาว่าเป็นเซตของข้อกำหนดอย่างเป็นทางการของวากยสัมพันธ์ ศัพท์ และความหมายข้อกำหนดเหล่านี้มักรวมถึงข้อมูล และโครงสร้างข้อมูลคำสั่ง และลำดับการทำงานปรัชญาในการออกแบบ
สถาปัตยกรรมของภาษาภาษาส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง หรือมีการใช้งานในระยะเวลาพอสมควร จะมีกลุ่มทำงานเพื่อสร้างมาตรฐาน ซึ่งมักจะมีการพบปะกันเป็นระยะๆ เพื่อสร้างและจัดพิมพ์นิยามอย่างเป็นทางการของภาษา รวมถึงการปรับปรุงเพิ่มเติมภาษาด้วย
ชนิดข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้น ภายในแล้วจะเก็บเป็นตัวเลขศูนย์และหนึ่ง(เลขฐานสอง)อย่างไรก็ตาม ข้อมูลมักถูกแทนสารสนเทศในชีวิตประจำวันเช่น ชื่อบุคคล เลขบัญชี หรือผลการวัด ดังนั้นข้อมูลแบบฐานสองจะถูกจัดการโดยภาษาโปรแกรม เพื่อทำให้รองรับการจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นเหล่านี้ระบบที่ข้อมูลถูกจัดการภายในโปรแกรมเรียกว่าชนิดข้อมูลของภาษาโปรแกรม การออกแบบและศึกษาเกี่ยวกับชนิดข้อมูลเรียกว่าทฤษฎีชนิด ภาษาโปรแกรมสามารถจัดออกได้เป็นกลุ่มภาษาที่มีการจัดชนิดแบบสถิตย์และภาษาที่มีการจัดชนิดแบบพลวัต
โครงสร้างข้อมูล
โครงสร้างข้อมูล คือรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูล ที่เกิดจากการนำเอาตัวแปรประเภทต่าง ๆ กันมาประยุกต์รวมกันเพื่อให้ง่ายต่อการที่จะนำไปใช้ ในalgorithm ต่าง ๆ
ภาษาโปรแกรมที่นิยม
ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ที่มีวัตถุประสงค์ทั่วไป พัฒนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) โดย เดนนิส ริตชี ที่เบลล์เทเลโฟนแลบอลาทอรีส์ (Bell Telephone Laboratories) เกิดขึ้นเพื่อสร้างระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ในขณะนั้น นอกจากภาษาซีออกแบบขึ้นมาเพื่อสร้างซอฟต์แวร์ระบบแล้วภาษาซียังสามารถใช้อย่างแพร่หลายเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เคลื่อนย้าย (portable) ไปบนระบบอื่นได้อีกด้วย

ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดกาล มีสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีตัวแปลโปรแกรมของภาษาซีภาษาซีมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาษาโปรแกรมที่นิยมอื่นๆที่เด่นชัดที่สุดก็คือภาษาซีพลัสพลัส ซึ่งเดิมเป็นส่วนขยายของภาษาซี
การออกแบบ
ภาษาซีเป็นภาษาเขียนโปรแกรมระบบเชิงเงื่อนไข(หรือเชิงกระบวนงาน)ถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้แปลด้วยตัวแปลโปรแกรมแบบการเชื่อมโยงที่ตรงไปตรงมา สามารถเข้าถึงหน่วยความจำในระดับล่าง เพื่อสร้างภาษาที่จับคู่อย่างมีประสิทธิภาพกับชุดคำสั่งเครื่อง และแทบไม่ต้องการสนับสนุนใด ๆ ขณะทำงาน ภาษาซีจึงเป็นประโยชน์สำหรับหลายโปรแกรมที่ก่อนหน้านี้เคยเขียนในภาษาแอสเซมบลีมาก่อนหากไม่คำนึงถึงความสามารถในระดับล่าง ภาษานี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเขียนโปรแกรมที่ไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง (machine-independent) โปรแกรมภาษาซีที่เขียนขึ้นตามมาตรฐานและเคลื่อนย้ายได้ สามารถแปลได้บนแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยแก้ไขรหัสต้นฉบับเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องแก้ไขเลย ภาษานี้สามารถใช้ได้บนแพลตฟอร์มได้หลากหลายตั้งแต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝังตัวไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์
แนวคิดการทำให้เล็กที่สุด
การออกแบบของภาษาซีถูกผูกมัดอยู่กับจุดประสงค์การใช้คือเป็นภาษาเขียนโปรแกรมระบบที่เคลื่อนย้ายได้ ภาษาซีจึงจัดเตรียมการเข้าถึงวัตถุใด ๆ ที่สามารถระบุตำแหน่งได้โดยตรงและง่ายดาย (ตัวอย่างเช่น รีจิสเตอร์ควบคุมอุปกรณ์ซึ่งจับคู่อยู่กับหน่วยความจำ) และนิพจน์ในรหัสต้นฉบับสามารถแปลอย่างตรงไปตรงมาตามพฤติกรรมเป็นคำสั่งเครื่องดั้งเดิมที่ทำงานได้ ตัวแปลภาษาซีรุ่นก่อนบางตัวทำงานได้บนหน่วยประมวลผลพีดีพี ซึ่งมีบิตอ้างตำแหน่งเพียง 16 บิตได้อย่างสบาย ตัวแปลภาษาซีเช่นแอซเท็กซี (Aztec C) สำหรับแพลตฟอร์ม 8 บิตทั่วไปก็สามารถทำงานได้เช่นกัน
ลักษณะเฉพาะ
ภาษาซีมีสิ่งอำนวยสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง และสามารถกำหนดขอบข่ายตัวแปรและเรียกซ้ำ เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรมเชิงเงื่อนไขส่วนใหญ่ในสายตระกูลภาษาอัลกอล ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรแบบอพลวัตช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ได้ตั้งใจ รหัสที่ทำงานได้ทั้งหมดในภาษาซีถูกบรรจุอยู่ในฟังก์ชัน พารามิเตอร์ของฟังก์ชันส่งผ่านด้วยค่าของตัวแปรเสมอ ส่วนการส่งผ่านด้วยการอ้างอิงจะถูกจำลองขึ้นโดยการส่งผ่านค่าพอยเตอร์ ชนิดข้อมูลรวมแบบแตกต่าง(struct)ช่วยให้สมาชิกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันสามารถรวมกันและจัดการได้ในหน่วยเดียว รหัสต้นฉบับของภาษาซีเป็นรูปแบบอิสระ ซึ่งใช้อัฒภาค (;)เป็นตัวจบคำสั่ง (มิใช่ตัวแบ่ง)ภาษาซียังมีลักษณะเฉพาะต่อไปนี้เพิ่มเติมตัวแปรอาจถูกซ่อนในบล็อกซ้อนกันชนิดตัวแปรไม่เคร่งครัดเช่นข้อมูลตัวอักษรสามารถใช้เป็นจำนวนเต็มเข้าถึงหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ในระดับต่ำโดยแปลงที่อยู่ในเครื่องด้วยชนิดตัวแปรพอยเตอร์ฟังก์ชันและพอยเตอร์ข้อมูลรองรับการทำงานในภาวะหลายรูปแบบ (polymorphism)การกำหนดดัชนีแถวลำดับสามารถทำได้ด้วยวิธีรอง คือนิยามในพจน์ของเลขคณิตพอยเตอร์ตัวประมวลผลก่อนสำหรับการนิยามแมโคร การรวมไฟล์รหัสต้นฉบับ และการแปลโปรแกรมแบบมีเงื่อนไข
ความสามารถที่ซับซ้อนเช่น ไอ/โอ การจัดการสายอักขระ และฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ รวมอยู่ในไลบรารีคำหลักที่สงวนไว้มีจำนวนค่อนข้างน้อยตัวดำเนินการแบบประสมจำนวนมาก อาทิ +=, -=, *=, ++ ฯลฯ
โครงสร้างการเขียน คล้ายภาษาบีมากกว่าภาษาอัลกอล ตัวอย่างเช่น ใช้วงเล็บปีกกา { ... } แทนที่จะเป็น begin ... end ในภาษาอัลกอล 60 หรือวงเล็บโค้ง ( ... ) ในภาษาอัลกอล 68เท่ากับ = ใช้สำหรับกำหนดค่า (คัดลอกข้อมูล) เหมือนภาษาฟอร์แทรน แทนที่จะเป็น := ในภาษาอัลกอลเท่ากับสองตัว == ใช้สำหรับเปรียบเทียบความเท่ากัน แทนที่จะเป็น .EQ. ในภาษาฟอร์แทรนหรือ = ในภาษาเบสิกและภาษาอัลกอลตรรกะ "และ" กับ "หรือ" แทนด้วย && กับ ตามลำดับ แทนที่จะเป็นตัวดำเนินการ ∧ กับ ∨ ในภาษาอัลกอล แต่ตัวดำเนินการดังกล่าวจะไม่ประเมินค่าตัวถูกดำเนินการทางขวา ถ้าหากผลลัพธ์จากทางซ้ายสามารถพิจารณาได้แล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าการประเมินค่าแบบลัดวงจร (short-circuit evaluation) และตัวดำเนินการดังกล่าวก็มีความหมายต่างจากตัวดำเนินการระดับบิต & กับ คุณลักษณะที่ขาดไป
ธรรมชาติของภาษาในระดับต่ำช่วยให้โปรแกรมเมอร์ควบคุมสิ่งที่คอมพิวเตอร์กระทำได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่อนุญาตให้มีการปรับแต่งพิเศษและการทำให้เหมาะที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มหนึ่งใดโดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้รหัสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่มีทรัพยากรจำกัดมาก ๆ ได้เช่นระบบฝังตัวภาษาซีไม่มีคุณลักษณะบางอย่างที่มีในภาษาอื่นอาทิไม่มีการนิยามฟังก์ชันซ้อนในไม่มีการกำหนดค่าแถวลำดับหรือสายอักขระโดยตรง (การคัดลอกข้อมูลจะกระทำผ่านฟังก์ชันมาตรฐาน แต่ก็รองรับการกำหนดค่าวัตถุที่มีชนิดเป็น struct หรือ union)ไม่มีการเก็บข้อมูลขยะโดยอัตโนมัติ
ไม่มีข้อกำหนดเพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับไม่มีการดำเนินการสำหรับแถวลำดับทั้งชุดในระดับตัวภาษา
ไม่มีวากยสัมพันธ์สำหรับช่วงค่า (range) เช่น A..B ที่ใช้ในบางภาษาก่อนถึงภาษาซี99 ไม่มีการแบ่งแยกชนิดข้อมูลแบบบูล (ค่าศูนย์หรือไม่ศูนย์ถูกนำมาใช้แทน) ไม่มีส่วนปิดคลุมแบบรูปนัย (closure) หรือฟังก์ชันในรูปแบบพารามิเตอร์ (มีเพียงพอยเตอร์ของฟังก์ชันและตัวแปร)ไม่มีตัวสร้างและโครูทีน การควบคุมกระแสการทำงานภายในเทรดมีเพียงการเรียกใช้ฟังก์ชันซ้อนลงไป เว้นแต่การใช้ฟังก์ชัน longjmp หรือ setcontext จากไลบรารีไม่มีการจัดกระทำสิ่งผิดปรกติ (exception handling) ฟังก์ชันไลบรารีมาตรฐานจะแสดงเงื่อนไขข้อผิดพลาดด้วยตัวแปรส่วนกลาง errnoและ/หรือค่ากลับคืนพิเศษ และฟังก์ชันไลบรารีได้เตรียม goto แบบไม่ใช่เฉพาะที่ไว้ด้วยการเขียนโปรแกรมเชิงมอดูลรองรับแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้นการโอเวอร์โหลดฟังก์ชันหรือตัวดำเนินการไม่รองรับภาวะหลายรูปแบบขณะแปลโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุรองรับในระดับที่จำกัดมาก โดยพิจารณาจากภาวะหลายรูปแบบกับการรับทอด (inheritance)
การซ่อนสารสนเทศ(encapsulation)รองรับในระดับที่จำกัดไม่รองรับโดยพื้นฐานกับการทำงานแบบมัลติเทรดและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่มีไลบรารีมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์กราฟิกส์และความจำเป็นหลายอย่างในการเขียนโปรแกรมประยุกต์คุณลักษณะเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีให้ใช้ได้จากส่วนขยายในตัวแปลโปรแกรมบางตัว หรือจัดสรรไว้แล้วในสภาพแวดล้อมของระบบปฏิบัติการ(เช่นโพสซิกส์)หรือจัดเตรียมโดยไลบรารีภายนอก หรือสามารถจำลองโดยดัดแปลงแก้ไขรหัสที่มีอยู่ หรือบางที่ก็ถูกพิจารณาว่าไม่เหมาะสมกับรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ดี
พฤติกรรมไม่นิยาม
การดำเนินการหลายอย่างในภาษาซีมีพฤติกรรมไม่นิยาม ซึ่งไม่ถูกกำหนดว่าต้องวินิจฉัยขณะแปลโปรแกรม ในกรณีของภาษาซี "พฤติกรรมไม่นิยาม" หมายถึงพฤติกรรมเฉพาะอย่างที่เกิดขึ้นโดยมาตรฐานมิได้ระบุไว้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ไม่มีในเอกสารการใช้งานของภาษาซี หนึ่งในชุดคำสั่งที่มีชื่อเสียงและน่าขบขันจากข่าวสารจากกลุ่ม comp.std.c และ comp.lang.c นั้นทำให้โปรแกรมเกิดปัญหาที่เรียกว่า "ปิศาจที่ออกมาจากจมูกของคุณ"("demons to fly out of your nose")บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมไม่นิยามทำให้เกิดจุดบกพร่องที่ยากต่อการตรวจสอบและอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำผิดแปลกไป ตัวแปลโปรแกรมบางชนิดช่วยสร้างการดำเนินงานที่ทำให้พฤติกรรมนั้นดีขึ้นและมีเหตุผล ซึ่งแตกต่างจากการแปลโดยตัวแปลชนิดอื่นที่อาจดำเนินงานไม่เหมือนกัน สาเหตุที่พฤติกรรมบางอย่างยังคงไว้ว่าไม่นิยาม ก็เพื่อให้ตัวแปลโปรแกรมบนสถาปัตยกรรมชุดของคำสั่งเครื่องที่หลากหลาย สามารถสร้างรหัสที่ทำงานได้ในพฤติกรรมที่นิยามอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นบทบาทหนึ่งที่สำคัญของภาษาซีในฐานะภาษาสำหรับสร้างระบบ ดังนั้นภาษาซีจึงส่งผลให้เกิดความรับผิดชอบของโปรแกรมเมอร์เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่นิยาม โดยอาจใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อค้นหาส่วนของโปรแกรมว่าพฤติกรรมใดบ้างที่ไม่นิยาม ตัวอย่างของพฤติกรรมไม่นิยามเช่น
-การเข้าถึงข้อมูลนอกขอบเขตของแถวลำดับ
-ข้อมูลล้น(overflow)ในตัวแปลจำนวนเต็มมีเครื่องหมาย
-ฟังก์ชันที่กำหนดไว้ว่าต้องส่งค่ากลับ แต่ไม่มีคำสั่งส่งกลับ (return) ในฟังก์ชัน ในขณะเดียวกันค่าส่งกลับก็ถูกใช้งานด้วย
-การอ่านค่าตัวแปรโดยที่ยังไม่ได้กำหนดค่าเริ่มต้น
-การดำเนินการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถปรากฏในการใช้ภาษาโปรแกรมอื่นๆจำนวนมาก ภาษาซีจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมาตรฐานของมันสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมไม่นิยามในหลายกรณีได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจนิยามไว้อย่างดีแล้ว และไม่มีการระบุกลไกการจัดกระทำต่อข้อผิดพลาดขณะทำงานเลย
ตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมไม่นิยามเช่นการเรียกใช้ fflush()บนกระแสข้อมูลป้อนเข้า ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะทำให้โปรแกรมทำงานผิดพลาด แต่ในบางกรณีที่การทำให้เกิดผลที่สอดคล้องกันได้นิยามไว้แล้วอย่างดี มีความหมายซึ่งใช้ประโยชน์ได้ (จากตัวอย่างนี้คือการสมมติให้ข้อมูลที่ป้อนเข้าถูกละทิ้งทั้งหมดจนถึงอักขระขึ้นบรรทัดใหม่ตัวถัดไป)เป็น ส่วนขยาย ที่อนุญาต ส่วนขยายที่ไม่เป็นมาตรฐานเช่นนี้เป็นข้อจำกัดความสามารถในการเคลื่อนย้ายของซอฟต์แวร์
ประวัติ
การพัฒนาช่วงแรก
การเริ่มต้นพัฒนาภาษาซีเกิดขึ้นที่เบลล์แล็บส์ของเอทีแอนด์ทีระหว่าง พ.ศ. 2512–2516 [2] แต่ตามข้อมูลของริตชี ช่วงเวลาที่เกิดความสร้างสรรค์มากที่สุดคือ พ.ศ. 2515 ภาษานี้ถูกตั้งชื่อว่า "ซี" เพราะคุณลักษณะต่าง ๆ ต่อยอดมาจากภาษาก่อนหน้าคือ "บี" ซึ่งจากข้อมูลของเคน ทอมป์สัน (Ken Thompson) กล่าวว่าภาษาบีเป็นรุ่นที่แยกตัวออกจากภาษาบีซีพีแอลอีกทอดหนึ่ง
จุดเริ่มต้นของภาษาซีผูกอยู่กับการพัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งเดิมพัฒนาด้วยภาษาแอสเซมบลีบนหน่วยประมวลผลพีดีพี-7โดยริตชีและทอมป์สัน โดยผสมผสานความคิดหลากหลายจากเพื่อนร่วมงาน ในตอนท้ายพวกเขาตัดสินใจที่จะย้ายระบบปฏิบัติการนั้นลงในพีดีพี-11 แต่ภาษาบีขาดความสามารถบางอย่างที่จะใช้คุณลักษณะอันได้เปรียบของพีดีพี-11 เช่นความสามารถในการระบุตำแหน่งที่อยู่เป็นไบต์ จึงทำให้เกิดการพัฒนาภาษาซีรุ่นแรกขึ้นมา

รุ่นดั้งเดิมของระบบยูนิกซ์บนพีดีพี-11ถูกพัฒนาขึ้นด้วยภาษาแอสเซมบลี เมื่อประมาณ พ.ศ. 2516 ภาษาซีเพิ่มชนิดข้อมูล struct ทำให้ภาษาซีเพียงพออย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเคอร์เนลยูนิกซ์ส่วนใหญ่ถูกเขียนด้วยภาษาซี นี้ก็เป็นเคอร์เนลหนึ่งของระบบปฏิบัติการที่พัฒนาด้วยภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาแอสเซมบลี (ระบบอื่นเช่นมัลติกส์เขียนด้วยภาษาพีแอล/วัน เอ็มซีพีสำหรับเบอร์โรส์ บี5000เขียนด้วยภาษาอัลกอล ในปี พ.ศ. 2504)
ภาษาเคแอนด์อาร์ซี
เมื่อ พ.ศ. 2521 ไบรอัน เคอร์นิกัน (Brian Kernighan) และเดนนิส ริตชี ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกชื่อ เดอะซีโปรแกรมมิงแลงกวิจ (The C Programming Language) [9] ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มโปรแกรมเมอร์ภาษาซีว่า "เคแอนด์อาร์" (K&R อักษรย่อของผู้แต่งทั้งสอง) หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เป็นข้อกำหนดของภาษาอย่างไม่เป็นทางการมาหลายปี ภาษาซีรุ่นดังกล่าวจึงมักถูกอ้างถึงว่าเป็น ภาษาเคแอนด์อาร์ซี (K&R C) ส่วนหนังสือที่ปรับปรุงครั้งที่สองครอบคลุมมาตรฐานแอนซีซีที่มีขึ้นทีหลัง ภาษาเคแอนด์อาร์ซีได้แนะนำคุณลักษณะหลายประการเช่น
-ไลบรารีไอ/โอมาตรฐาน
-ชนิดข้อมูล long int (จำนวนเต็มขนาดยาว)
-ชนิดข้อมูล unsigned int (จำนวนเต็มไม่มีเครื่องหมาย)
-ตัวดำเนินการกำหนดค่าแบบประสมในรูปแบบ =ตัวดำเนินการ (เช่น =-) ถูกเปลี่ยนเป็น ตัวดำเนินการ= (เช่น -=) เพื่อลด--ปัญหาความกำกวมเชิงความหมาย อย่างเช่นกรณี i=-10 ซึ่งจะถูกตีความว่า i =- 10 แทนที่จะเป็นอย่างที่ตั้งใจคือ i = -10
แม้ว่าหลังจากการเผยแพร่มาตรฐานของภาษาซีเมื่อ พ.ศ. 2532 ภาษาเคแอนด์อาร์ซีถูกพิจารณาว่าเป็น "ส่วนร่วมต่ำสุด" อยู่เป็นเวลาหลายปี (ความสามารถในการแปลรหัสจำนวนหนึ่งเป็นคำสั่งซึ่งทำงานได้บนเครื่องใดก็ตามเป็นอย่างน้อย) ซึ่งโปรแกรมเมอร์ภาษาซีต้องจำกัดความสามารถของพวกเขาในกรณีที่ต้องการให้ระบบสามารถใช้ได้กับหลายเครื่องมากที่สุด เนื่องจากตัวแปลโปรแกรมเก่า ๆ ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่ และเขียนภาษาซีแบบเคแอนด์อาร์อย่างระมัดระวังเพื่อให้สามารถเข้ากันได้กับภาษาซีมาตรฐานเป็นอย่างดีในภาษาซีรุ่นแรก ๆ เฉพาะฟังก์ชันที่คืนค่าไม่เป็นจำนวนเต็ม จำเป็นต้องประกาศไว้ก่อนการนิยามฟังก์ชันหากมีการเรียกใช้ อีกนัยหนึ่งคือ ฟังก์ชันที่ถูกเรียกใช้โดยไม่มีการประกาศมาก่อน ถือว่าฟังก์ชันนั้นจะคืนค่าเป็นจำนวนเต็มหากค่าของมันถูกใช้งาน ตัวอย่างเช่น
long int SomeFunction();
/* int OtherFunction(); */

/* int */ CallingFunction()
{
long int test1;
register /* int */ test2;

test1 = SomeFunction();
if (test1 > 0)
test2 = 0;
else
test2 = OtherFunction();

return test2;
}
จากตัวอย่างข้างต้น การประกาศ int ที่ถูกคัดออก สามารถละเว้นได้ในภาษาเคแอนด์อาร์ซี แต่ long int จำเป็นต้องประกาศ
การประกาศฟังก์ชันของภาษาเคแอนด์อาร์ซีไม่มีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับอาร์กิวเมนต์ที่ใช้ ดังนั้นจึงไม่มีการตรวจชนิดข้อมูลพารามิเตอร์ของฟังก์ชัน แม้ว่าตัวแปลโปรแกรมบางตัวจะแสดงข้อความเตือน ถ้าฟังก์ชันถูกเรียกใช้ภายในโดยมีจำนวนอาร์กิวเมนต์ที่ผิด หรือถ้าฟังก์ชันถูกเรียกใช้หลายครั้งจากภายนอกโดยมีชนิดข้อมูลของอาร์กิวเมนต์ต่างกัน เครื่องมือภายนอกอาทิ ลินต์ (lint) ของยูนิกซ์ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถตรวจสอบความคงเส้นคงวาของฟังก์ชันที่ใช้งานข้ามไฟล์รหัสต้นฉบับหลายไฟล์
หลายปีถัดจากการเผยแพร่ภาษาเคแอนด์อาร์ซี คุณลักษณะที่ไม่เป็นทางการหลายอย่างก็ถูกเพิ่มเข้ามาในภาษา ซึ่งรองรับโดยตัวแปลโปรแกรมจากเอทีแอนด์ทีและผู้ผลิตรายอื่น คุณลักษณะที่เพิ่มเหล่านี้เช่น
-ฟังก์ชัน void
-ฟังก์ชันที่คืนค่าเป็นชนิดข้อมูล struct หรือ union (แทนที่จะเป็นพอยเตอร์)
-การกำหนดค่าให้กับชนิดข้อมูล struct
-ชนิดข้อมูลแจงนับ (enumerated type)
ส่วนขยายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและการขาดข้อตกลงในเรื่องไลบรารีมาตรฐาน อีกทั้งความนิยมในภาษาและข้อเท็จจริงที่ว่าไม่เพียงแต่ตัวแปลโปรแกรมยูนิกซ์เท่านั้นที่พัฒนาขึ้นตามข้อกำหนดของเคแอนด์อาร์ ทั้งหมดนำไปสู่ความสำคัญของการทำให้เป็นมาตรฐาน
ภาษาแอนซีซีและภาษาไอโซซี
ช่วงพุทธทศวรรษ2520ภาษาซีหลายรุ่นถูกพัฒนาขึ้นสำหรับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวางรวมทั้งไอบีเอ็มพีซี ซึ่งความนิยมของมันเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อ พ.ศ. 2526 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ก่อตั้งคณะกรรมการ เอกซ์3เจ11 ขึ้นมาเพื่อกำหนดมาตรฐานของภาษาซี ต่อมา พ.ศ. 2532 มาตรฐานดังกล่าวได้รับการอนุมัติเป็น ANSI X3.159-1989 "Programming Language C" ซึ่งภาษารุ่นนี้มักถูกอ้างถึงว่าเป็นภาษาแอนซีซี (ANSI C) ภาษาซีมาตรฐาน หรือภาษาซี89 (C89) ในบางครั้ง
เมื่อ พ.ศ. 2533 องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ได้รับเอามาตรฐานแอนซีซี (พร้อมการเปลี่ยนแปลงการจัดรูปแบบ) มาเป็น ISO/IEC 9899:1990 ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่าภาษาไอโซซี (ISO C) หรือภาษาซี90 (C90) ดังนั้นคำว่า "ซี89" กับ "ซี90" จึงหมายถึงภาษาโปรแกรมเดียวกัน
แอนซีไม่ได้พัฒนามาตรฐานภาษาซีโดยเอกเทศอีกต่อไปแล้ว เหมือนเช่นองค์กรมาตรฐานแห่งชาติอื่น ๆ แต่ก็คล้อยตามมาตรฐานไอโซซี การรับเอามาตรฐานระดับชาติมาปรับปรุงเป็นมาตรฐานระดับสากล เกิดขึ้นภายในปีเดียวกับที่เผยแพร่มาตรฐานไอโซ
จุดมุ่งหมายหนึ่งของกระบวนการสร้างมาตรฐานให้ภาษาซีคือเพื่อสร้างซูเปอร์เซตของภาษาเคแอนด์อาร์ซี ผสมผสานคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ยังไม่เป็นทางการซึ่งแนะนำต่อกันมา คณะกรรมการมาตรฐานได้รวมคุณลักษณะหลายประการเพิ่มเข้ามาอาทิ ฟังก์ชันโพรโทไทป์ (ยืมมาจากภาษาซีพลัสพลัส), พอยเตอร์ void, รองรับการจัดเรียงท้องถิ่น (locale) และชุดอักขระสากล, และการปรับปรุงตัวประมวลก่อนให้ดีขึ้น วากยสัมพันธ์สำหรับการประกาศพารามิเตอร์ถูกเพิ่มเข้ามาให้เหมือนกับรูปแบบที่ใช้ในภาษาซีพลัสพลัส แม้ว่าการเขียนแบบเคแอนด์อาร์ก็ยังสามารถใช้ได้เพื่อความเข้ากันได้กับรหัสต้นฉบับที่มีอยู่แล้ว
ภาษาซีรุ่นนี้ยังคงรองรับในตัวแปลโปรแกรมในปัจจุบัน และรหัสภาษาซีส่วนใหญ่ที่เขียนขึ้นทุกวันนี้ก็ใช้พื้นฐานมาจากรุ่นนี้ โปรแกรมใด ๆ ที่เขียนขึ้นด้วยภาษาซีมาตรฐานโดยไร้สมมติฐานว่าขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ใด จะทำงานได้อย่างถูกต้องบนแพลตฟอร์มใดก็ตามด้วยการพัฒนาภาษาซีที่สอดคล้องกันภายในทรัพยากรที่จำกัด หากไม่ระมัดระวังเช่นนั้น โปรแกรมอาจแปลได้เฉพาะบนแพลตฟอร์มหนึ่งหรือด้วยตัวแปลตัวหนึ่งเท่านั้น อันเนื่องมาจากการใช้ไลบรารีไม่มาตรฐานเช่นไลบรารีส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ก็ดี หรือความเชื่อมั่นต่อสมบัติเฉพาะของแพลตฟอร์มหรือตัวแปลหนึ่ง ๆ เช่นขนาดที่แท้จริงของชนิดข้อมูลหรือการลำดับข้อมูลไบต์ (endianness) ก็ดี
ในกรณีที่ต้องเลือกว่ารหัสต้องถูกแปลด้วยตัวแปลภาษาซีมาตรฐานหรือภาษาเคแอนด์อาร์ซีอย่างใดอย่างหนึ่งการใช้แมโครSTDCสามารถช่วยให้แบ่งแยกรหัสส่วนมาตรฐานและส่วนเคแอนด์อาร์ออกจากกัน ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่มีเฉพาะในภาษาซีมาตรฐาน
ภาษาซี99
หลังจากกระบวนการทำให้เป็นมาตรฐานของแอนซี/ไอโซแล้ว ข้อกำหนดภาษาซียังคงนิ่งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่ภาษาซีพลัสพลัสกำลังก่อตัวด้วยความพยายามทำให้เป็นมาตรฐานของมันเอง การเพิ่มเติมกฎเกณฑ์ครั้งที่ 1 สำหรับมาตรฐานภาษาซีเผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2538 เพื่อแก้ไขรายละเอียดบางจุดและเพิ่มการรองรับชุดอักขระสากลให้มากขึ้น ต่อมามาตรฐานภาษาซีถูกเรียบเรียงดัดแปลงใหม่และนำไปสู่การเผยแพร่ ISO/IEC 9899:1999 ออกสู่สาธารณชนใน พ.ศ. 2542 ซึ่งมักถูกอ้างถึงว่า "ซี99" (C99) มาตรฐานนี้มีการเพิ่มเติมกฎเกณฑ์แล้วสามครั้งโดย TechnicalCorrigendaปัจจุบันมาตรฐานภาษาซีสากลดูแลและควบคุมโดยกลุ่ม ISO/IEC JTC1/SC22/WG14ภาษาซี99ได้แนะนำคุณลักษณะใหม่หลายประการอาทิ ฟังก์ชันแบบแทรก (inline function) ชนิดข้อมูลใหม่หลายชนิด (เช่น long long int และ complex สำหรับจำนวนเชิงซ้อน) แถวลำดับความยาวแปรได้ (variable-length array) แมโครอาร์กิวเมนต์แปรได้ (variadic macro) และหมายเหตุในหนึ่งบรรทัดที่ขึ้นต้นด้วย // เหมือนภาษาบีซีพีแอลหรือภาษาซีพลัสพลัส ซึ่งคุณลักษณะส่วนใหญ่เคยพัฒนาไว้แล้วเป็นส่วนขยายของตัวแปลภาษาซีหลายโปรแกรม

ภาษาซี99สามารถเข้ากันได้แบบย้อนหลังกับภาษาซี90เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็จำกัดมากขึ้นในบางแง่มุม โดยเฉพาะการประกาศโดยไม่ระบุชนิด จะไม่ถูกสมมติว่าเป็น int อีกต่อไป แมโครมาตรฐาน STDC_VERSIONถูกนิยามขึ้นด้วยค่า 199901L เพื่อแสดงว่ารหัสนั้นรองรับภาษาซี99 ขณะนี้ จีซีซี ซันสตูดิโอ และตัวแปลโปรแกรมอื่น ๆ ก็รองรับคุณลักษณะใหม่ของภาษาซี99เป็นจำนวนมากหรือทั้งหมดแล้ว
ภาษาซี1เอกซ์
เมื่อ พ.ศ. 2550 มีกลุ่มทำงานหนึ่งเริ่มต้นขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานภาษาซีอีกรุ่น ซึ่งเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "ซี1เอกซ์" (C1X) คณะกรรมการนี้รับเอาแนวคิดต่าง ๆ เพื่อจำกัดการเลือกคุณลักษณะใหม่ที่ยังไม่เคยมีการทดสอบพัฒนามาก่อน
การใช้งาน
การเขียนโปรแกรมระบบเป็นการใช้งานหลักของภาษาซี ซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ระบบฝังตัว เนื่องจากลักษณะเฉพาะอันเป็นที่ต้องการถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น ความสามารถในเคลื่อนย้ายได้กับประสิทธิภาพของรหัสต้นฉบับ ความสามารถในการเข้าถึงที่อยู่ของฮาร์ดแวร์ที่ระบุ ความสามารถเรื่อง type punning เพื่อให้เข้ากับความต้องการการเข้าถึงข้อมูลที่กำหนดไว้จากภายนอก และความต้องการทรัพยากรระบบขณะทำงานต่ำ ภาษาซีสามารถใช้เขียนโปรแกรมเว็บไซต์โดยใช้ซีจีไอเป็น "เกตเวย์" เพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างเว็บแอปพลิเคชัน เซิร์ฟเวอร์ และเบราว์เซอร์ [10] ปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เลือกภาษาซีแทนที่จะเป็นภาษาอินเทอร์พรีตเตอร์ คือความเร็ว เสถียรภาพ และความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมของการดำเนินงาน เนื่องจากเป็นธรรมชาติของภาษาคอมไพเลอร์
ผลจากการยอมรับในระดับกว้างขวางและประสิทธิภาพของภาษาซี ทำให้ตัวแปลโปรแกรม ตัวแปลคำสั่ง ไลบรารีต่าง ๆ ของภาษาอื่น มักพัฒนาขึ้นด้วยภาษาซี ตัวอย่างเช่น ตัวแปลโปรแกรมภาษาไอเฟลหลายโปรแกรมส่งข้อมูลออกเป็นรหัสภาษาซีเป็นภาษากลาง เพื่อส่งต่อให้ตัวแปลโปรแกรมภาษาซีต่อไป การพัฒนาสายหลักของภาษาไพทอน ภาษาเพิร์ล 5 และภาษาพีเอชพี ทั้งหมดถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาซี
ภาษาซีมีประสิทธิภาพสำหรับคอมพิวเตอร์เพื่องานคำนวณและวิทยาศาสตร์ เนื่องจากความสิ้นเปลืองต่ำ ธรรมชาติของภาษาระดับต่ำ ธรรมชาติของภาษาที่ถูกแปล และมีส่วนคณิตศาสตร์ที่ดีในไลบรารีมาตรฐาน ตัวอย่างของการใช้ภาษาซีในงานคำนวณและวิทยาศาสตร์ เช่นจีเอ็มพี ไลบรารีวิทยาศาสตร์ของกนู แมทเทอแมติกา แมตแล็บ และแซส
ภาษาซีบางครั้งใช้เป็นภาษาระหว่างกลางในการทำให้เกิดผลของภาษาอื่น แนวคิดนี้อาจใช้เพื่อความสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายโดยให้ภาษาซีเป็นภาษาระหว่างกลาง ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาตัวสร้างรหัสแบบเจาะจงเครื่อง ตัวแปลโปรแกรมที่ใช้ภาษาซีในทางนี้เช่น บิตซี แกมบิต จีเอชซี สควีก และวาลา เป็นต้น อย่างไรก็ตามภาษาซีถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาษาเขียนโปรแกรม ไม่ใช่ภาษาเป้าหมายของตัวแปลโปรแกรม จึงเหมาะสมน้อยกว่าสำหรับการใช้เป็นภาษาระหว่างกลาง ด้วยเหตุผลนี้นำไปสู่การพัฒนาภาษาระหว่างกลางที่มีพื้นฐานบนภาษาซีเช่น ภาษาซีไมนัสไมนัส

ผู้ใช้ขั้นปลายใช้ภาษาซีอย่างแพร่หลายเพื่อสร้างแอปพลิเคชันของผู้ใช้เอง แต่เมื่อแอปพลิเคชันใหญ่ขึ้น การพัฒนาเช่นนั้นมักจะย้ายไปทำในภาษาอื่นที่พัฒนามาด้วยกัน เช่นภาษาซีพลัสพลัส ภาษาซีชาร์ป ภาษาวิชวลเบสิก เป็นต้น
วากยสัมพันธ์
รหัสต้นฉบับของภาษาซีมีรูปแบบอิสระ ซึ่งสามารถใช้อักขระช่องว่างเท่าใดก็ได้ในรหัส มากกว่าที่จะถูกจำกัดด้วยคอลัมน์หรือบรรทัดข้อความอย่างภาษาฟอร์แทรน 77 ข้อความหมายเหตุจะปรากฏระหว่างตัวคั่น /* และ */ (แบบดั้งเดิม) หรือตามหลัง // จนกว่าจะจบบรรทัด (ภาษาซี99 เป็นต้นไป)
รหัสต้นฉบับแต่ละไฟล์ประกอบด้วยการประกาศและการนิยามฟังก์ชันต่าง ๆ และการนิยามฟังก์ชันก็ประกอบด้วยการประกาศและข้อความสั่งต่าง ๆ ภายในอีกด้วย การประกาศอาจกำหนดชนิดข้อมูลใหม่โดยใช้คำหลักเช่น struct, union และ enum หรือกำหนดค่าของชนิดข้อมูลและอาจสงวนเนื้อที่สำรองให้กับตัวแปรใหม่ โดยการเขียนชื่อของชนิดข้อมูลตามด้วยชื่อตัวแปร คำหลักอาทิ char และ int เป็นชนิดข้อมูลพื้นฐานที่มากับภาษา ส่วนต่าง ๆ ของรหัสถูกคลุมด้วยวงเล็บปีกกา { กับ } เพื่อจำกัดขอบเขตของการประกาศ และเพื่อกระทำเสมือนข้อความสั่งเดียวสำหรับโครงสร้างการควบคุม
ภาษาซีใช้ ข้อความสั่ง(statement)ในการระบุการกระทำเช่นเดียวกับภาษาเชิงคำสั่งอื่น ข้อความสั่งที่สามัญที่สุดคือ ข้อความสั่งนิพจน์ (expression statement)ซึ่งประกอบด้วยนิพจน์ที่จะถูกนำไปประเมินค่า ตามด้วยอัฒภาค ; จากผลข้างเคียงของการประเมินค่า ฟังก์ชันหลายฟังก์ชันอาจถูกเรียกใช้และตัวแปรหลายตัวอาจถูกกำหนดค่าใหม่ ภาษาซีได้เตรียมข้อความสั่งสำหรับควบคุมการไหลของโปรแกรมไว้หลายข้อความซึ่งดูได้จากคำสงวนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การใช้ if-else เพื่อการทำงานแบบมีเงื่อนไข และการใช้ do-while, while และ for เพื่อการทำงานแบบวนรอบ เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานอันเป็นลำดับปกติ เป็นสิ่งที่รองรับสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง สำหรับข้อความสั่ง for นั้นมีนิพจน์ของการกำหนดค่าเริ่มต้น การทดสอบเงื่อนไข และการกำหนดค่ารอบใหม่ทั้งสามอย่างในตัวเอง ซึ่งสามารถละเว้นนิพจน์ใดก็ได้ ข้อความสั่ง break และ continue สามารถใช้ภายในการทำงานแบบวนรอบ เพื่อหยุดการวนรอบ หรือข้ามไปยังการกำหนดค่ารอบใหม่ทันทีตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีข้อความสั่งที่ไม่เป็นเชิงโครงสร้างคือ goto ซึ่งจะทำให้การไหลของโปรแกรมข้ามไปยังป้าย (label) ที่ตั้งชื่อไว้ทันทีภายในฟังก์ชัน ข้อความสั่ง switch และ case ใช้สำหรับพิจารณาทางเลือกของการทำงานโดยพิจารณานิพจน์ที่เป็นจำนวนเต็ม
นิพจน์ต่าง ๆสามารถใช้ตัวดำเนินการที่มีมากับภาษาได้หลากหลาย(ดูด้านล่าง)และอาจมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน อาร์กิวเมนต์ของฟังก์ชันและตัวถูกดำเนินการของตัวดำเนินการส่วนใหญ่ที่จะถูกประเมินค่านั้นไม่มีการระบุลำดับ การประเมินค่าจึงอาจแทรกซ้อนกันก็ได้ อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมด (รวมทั้งที่เก็บข้อมูลตัวแปร) จะปรากฏก่อน จุดลำดับ (sequence point) ถัดไป จุดลำดับนั้นคือจุดสิ้นสุดของข้อความสั่งของแต่ละนิพจน์ และจุดที่เข้าและออกจากการเรียกใช้ฟังก์ชัน จุดลำดับก็ยังเกิดขึ้นระหว่างการประเมินค่านิพจน์ที่มีตัวดำเนินการบางชนิด (เช่น &&, , ?: และตัวดำเนินการจุลภาค) สิ่งนี้ทำให้การปรับแต่งรหัสจุดหมายให้เหมาะสมทำได้ในระดับสูง ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้โปรแกรมเมอร์ภาษาซีใส่ใจมากนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ ในขณะที่จำเป็นสำหรับภาษาโปรแกรมอื่น

ถึงแม้ว่าวากยสัมพันธ์ของภาษาซีจะถูกเลียนแบบโดยภาษาอื่นหลายภาษาเพราะว่าความเคยชินอย่างกว้างขวาง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น เคอร์นิกันและริตชีได้กล่าวในบทนำของ เดอะซีโพรแกรมมิงแลงกวิจ ไว้ว่า "ภาษาซีก็มีตำหนิของมันเหมือนภาษาอื่นใด ตัวดำเนินการบางตัวมีสิทธิการทำก่อนที่ผิด วากยสัมพันธ์บางส่วนสามารถทำให้ดีกว่านี้"
ปัญหาเฉพาะบางอย่างที่ควรหมายเหตุไว้มีดังนี้
ไม่มีการตรวจสอบจำนวนและชนิดของอาร์กิวเมนต์เมื่อการประกาศฟังก์ชันมีรายการพารามิเตอร์ว่าง (สิ่งนี้เพื่อความเข้ากันได้ย้อนหลังกับภาษาเคแอนด์อาร์ซี ซึ่งไม่มีโพรโทไทป์)
ทางเลือกที่น่าสงสัยของสิทธิการทำก่อนของตัวดำเนินการ ดังที่กล่าวถึงโดยเคอร์นิกันและริตชีข้างต้น เช่น == ที่วางอยู่ติดกับ & และ ในนิพจน์ดังตัวอย่าง x & 1 == 0 ตัวดำเนินการ == จะทำก่อนซึ่งไม่ใช่ผลที่คาดไว้ จำเป็นต้องใส่วงเล็บเพิ่ม (x & 1) == 0 เพื่อให้ & ทำก่อนตามต้องการ
ตัวดำเนินการ = ซึ่งใช้แสดงภาวะเท่ากันในคณิตศาสตร์ แต่ในภาษาซีใช้เพื่อการกำหนดค่าของตัวแปร โดยใช้ตามแบบที่มีอยู่ก่อนในภาษาฟอร์แทรน ภาษาพีแอล/วัน และภาษาเบสิก ไม่เหมือนภาษาอัลกอลและภาษาต่อยอดของมัน ริตชีตั้งใจเลือกรูปแบบนี้ด้วยเหตุผลหลักว่า อาร์กิวเมนต์ของการกำหนดค่าเกิดขึ้นบ่อยกว่าการเปรียบเทียบ
ความคล้ายกันของตัวดำเนินการกำหนดค่าและการเปรียบเทียบภาวะเท่ากัน (= และ ==) ทำให้เกิดความผิดพลาดจากการใช้เครื่องหมายผิดได้ง่าย ในหลายกรณีเครื่องหมายถูกใช้ในบริบทของอีกอันหนึ่งโดยไม่มีความผิดพลาดขณะแปล (แม้ว่าตัวแปลโปรแกรมปกติจะสร้างข้อความเตือนขึ้นมา) ตัวอย่างเช่น นิพจน์เงื่อนไขภายใน if (a = b) จะเป็นจริงถ้า a มีค่าไม่เป็นศูนย์หลังจากการกำหนดค่า [12] อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องนี้อาจมีประโยชน์สำหรับการเขียนรหัสอย่างย่อในบางกรณี
การขาดตัวดำเนินการเติมกลางสำหรับวัตถุซับซ้อนหลายชนิด โดยเฉพาะการดำเนินการสายอักขระ ทำให้โปรแกรมที่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าที่ควรเป็น (เพราะต้องสร้างฟังก์ชันขึ้นเอง) และทำให้รหัสอ่านยากขึ้นด้วย
รูปแบบของการประกาศที่บางครั้งไม่เป็นไปตามสามัญสำนึกโดยเฉพาะพอยเตอร์ฟังก์ชัน (แนวคิดของริตชีคือการประกาศตัวระบุในบริบทที่สัมพันธ์กับการใช้งานของมัน)
ตัวดำเนินการ
ภาษาซีรองรับตัวดำเนินการหลายประเภท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในนิพจน์เพื่อระบุการจัดการที่จะถูกทำให้เกิดผล ระหว่างการประเมินค่าของนิพจน์นั้น ภาษาซีมีตัวดำเนินการต่อไปนี้
พีชคณิต (+, -, *, /, %)
การกำหนดค่า (=)
การกำหนดค่าแต่งเติม (+=, -=, *=, /=, %=, &=, =, ^=, <<=, >>=)
ตรรกะระดับบิต (~, &, , ^)
การเลื่อนระดับบิต (<<, >>)
ตรรกะแบบบูล (!, &&, )
การประเมินค่าเชิงเงื่อนไข (?:)
การทดสอบภาวะเท่ากัน (==, !=)
การรวมอาร์กิวเมนต์ฟังก์ชัน (( ))
การเพิ่มค่าและการลดค่า (++, --)
การเลือกสมาชิกในวัตถุ (., ->)
ขนาดของวัตถุ (sizeof)
ความสัมพันธ์เชิงอันดับ (<, <=, >, >=)
การอ้างอิงและการถูกอ้างอิง (&, *, [ ])
การลำดับ (,)
การจัดกลุ่มนิพจน์ย่อย (( ))
การแปลงชนิดข้อมูล (( ))
ภาษาซีมีไวยากรณ์รูปนัยซึ่งระบุโดยมาตรฐานภาษาซี [13]
การแปลงจำนวนเต็ม จำนวนจุดลอยตัว และการปัดเศษ
วากยสัมพันธ์ของการแปลงชนิดข้อมูลสามารถใช้แปลงค่าต่าง ๆ ระหว่างชนิดข้อมูลจำนวนเต็มและจำนวนจุดลอยตัว (จำนวนทศนิยม) หรือระหว่างจำนวนเต็มสองจำนวน หรือระหว่างจำนวนจุดลอยตัวสองจำนวนที่มีขนาดแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น (longint)sqrt(1000.0), (double)(256*256) หรือ (float)sqrt(1000.0) เป็นต้น การแปลงชนิดข้อมูลเป็นภาวะปริยายในหลายบริบทอาทิ เมื่อกำหนดค่าให้กับตัวแปรหรือพารามิเตอร์ของฟังก์ชัน หรือเมื่อใช้จำนวนจุดลอยตัวเป็นดัชนีของเวกเตอร์ หรือในการดำเนินการทางเลขคณิตที่มีตัวถูกดำเนินการเป็นข้อมูลคนละชนิดกัน
การแปลงค่าระหว่างจำนวนเต็มและจำนวนจุดลอยตัวโดยทั่วไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการเข้ารหัสระดับบิตไปยังขอบเขตที่เป็นไปได้เพื่อสงวนค่าจำนวนของตัวถูกดำเนินการนั้น ไม่เหมือนกับการแปลงชนิดข้อมูลกรณีอื่น(ซึ่งการเข้ารหัสระดับบิตของตัวถูกดำเนินการจะถูกตีความใหม่ตามชนิดเป้าหมายเพียงเท่านั้น)โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแปลงชนิดข้อมูลจากจำนวนเต็มไปเป็นจำนวนจุดลอยตัวจะคงไว้ซึ่งค่าจำนวนได้อย่างถูกต้องเว้นแต่ถ้าจำนวนบิตในชนิดเป้าหมายมีไม่เพียงพอ กรณีดังกล่าวจะทำให้บิตที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุดสูญหายไป
ส่วนการแปลงชนิดข้อมูลจากจำนวนจุดลอยตัวไปเป็นจำนวนเต็มจะเกิดการตัดค่าหลังจุดทศนิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ค่าถูกปัดเศษเข้าหาศูนย์) สำหรับการปัดเศษชนิดอื่น ภาษซี99ได้ระบุไว้แล้วในฟังก์ชันดังนี้ (ใน )
round(): ปัดเศษไปยังจำนวนเต็มที่ใกล้สุด
rint(), nearbyint(): ปัดเศษตามทิศทางของจำนวนจุดลอยตัวปัจจุบัน
ceil(): ค่าจำนวนเต็มน้อยสุดที่ไม่น้อยกว่าอาร์กิวเมนต์ (ปัดขึ้น) ดูเพิ่มที่ฟังก์ชันเพดาน
floor(): ค่าจำนวนเต็มมากสุดที่ไม่มากกว่าอาร์กิวเมนต์ (ปัดลง) ดูเพิ่มที่ฟังก์ชันพื้น
trunc(): ปัดเศษเข้าหาศูนย์ (เหมือนกับการแปลงชนิดข้อมูลเป็นจำนวนเต็ม)
ฟังก์ชันทั้งหมดนี้รับอาร์กิวเมนต์ double และคืนค่าเป็น double ซึ่งต่อจากนี้ก็อาจแปลงชนิดข้อมูลเป็นจำนวนเต็มอีกทีหากจำเป็น
การแปลงชนิดข้อมูลจาก float ไปเป็น double จะคงไว้ซึ่งค่าจำนวนได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่การแปลงกลับ ค่าจะถูกปัดเศษซึ่งมักเป็นการปัดเศษเข้าหาศูนย์ เพื่อให้พอดีกับจำนวนบิตที่น้อยลง (เนื่องจาก floatก็มีช่วงเลขชี้กำลังที่น้อยกว่าด้วย การแปลงชนิดข้อมูลอาจให้ผลเป็นค่าอนันต์แทน) ตัวแปลโปรแกรมบางโปรแกรมจะแปลงค่าของ float ไปเป็น double โดยเบื้องหลังในบางบริบทเช่น พารามิเตอร์ของฟังก์ชันที่ประกาศเป็น float ตามความเป็นจริงอาจส่งค่าเป็น double ก็ได้
เครื่องที่ทำตามมาตรฐานจำนวนจุดลอยตัวของIEEEเหตุการณ์การปัดเศษบางเหตุการณ์มีผลมาจากสถานะการปัดเศษปัจจุบัน (ได้แก่การปัดเศษเลขคู่ การปัดเศษขึ้น การปัดเศษลง และการปัดเศษเข้าหาศูนย์)ซึ่งอาจเรียกดูหรือตั้งค่าสถานะโดยใช้ฟังก์ชัน fegetround()/fesetround() ที่นิยามไว้ใน
ตัวอย่างโปรแกรม "เฮลโลเวิลด์"ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ เดอะซีโพรแกรมมิงแลงกวิจ ที่พิมพ์ครั้งแรก กลายมาเป็นตัวแบบของโปรแกรมเกริ่นนำในตำราการเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่หากไม่คำนึงถึงภาษาที่ใช้เขียน โปรแกรมดังกล่าวจะแสดงผล "hello, world" ทางอุปกรณ์ส่งออกมาตรฐาน ซึ่งมักจะเป็นเครื่องปลายทางหรือหน่วยแสดงผลจอภาพ
รหัสโปรแกรมรุ่นดั้งเดิมเป็นดังนี้
main()
{
printf("hello, world\n");
}
และหลังจากการปรับเปลี่ยนรหัสให้เข้ากับมาตรฐาน รหัสจึงเป็นดังนี้

#include

int main(void)
{
printf("hello, world\n");
return 0;
}
บรรทัดแรกของโปรแกรมเป็นคำสั่งชี้แนะตัวประมวลผลก่อน (preprocessing directive)แสดงไว้โดย #include ทำให้ตัวประมวลผลก่อน (อันเป็นเครื่องมืออย่างแรกที่พิจารณารหัสต้นฉบับขณะแปล)นำเนื้อหาข้อความทั้งหมดของไฟล์ส่วนหัวมาตรฐาน stdio.h เข้ามาแทนที่บรรทัดนั้น ซึ่งไฟล์ดังกล่าวมีการประกาศฟังก์ชันสำหรับอุปกรณ์นำเข้าและส่งออกมาตรฐานอาทิ printf วงเล็บแหลมที่คลุมชื่อไฟล์ stdio.h (ซึ่งความจริงคือเครื่องหมายน้อยกว่า-มากกว่า) เป็นการแสดงว่า stdio.h ถูกกำหนดที่ตั้งโดยใช้กลยุทธ์การค้นหาที่ให้ความสำคัญต่อไฟล์ส่วนหัวมาตรฐาน มากกว่าไฟล์ส่วนหัวอื่นที่มีชื่อเดียวกัน อัญประกาศคู่อาจใช้ได้ในกรณีที่ต้องการนำไฟล์ส่วนหัวที่อยู่ใกล้เคียงหรือเจาะจงโครงการเข้ามารวม

บรรทัดถัดมาเป็นการนิยามฟังก์ชันชื่อว่า main ฟังก์ชัน main เป็นฟังก์ชันที่มีจุดประสงค์พิเศษในโปรแกรมภาษาซี สภาพแวดล้อมขณะทำงานจะเรียกใช้ฟังก์ชัน main เพื่อเริ่มต้นการทำงานโปรแกรม ตัวระบุชนิด int เป็นตัวแสดงว่า ค่าส่งคืน ที่ถูกส่งคืนโดยตัวที่เรียกใช้ (กรณีนี้คือสภาพแวดล้อมขณะทำงาน)จะเป็นจำนวนเต็มค่าหนึ่ง อันเป็นผลจากการประเมินค่าของฟังก์ชันmainคำหลัก void ในรายการพารามิเตอร์แสดงว่าฟังก์ชัน main ไม่ต้องใช้อาร์กิวเมนต์ วงเล็บปีกกาเปิดหมายถึงจุดเริ่มต้นของการนิยามฟังก์ชัน main
บรรทัดถัดมาเป็นการ เรียกใช้ ฟังก์ชันที่ชื่อว่า printf ซึ่งประกาศไว้ใน stdio.h และจัดเตรียมขึ้นจากไลบรารีของระบบ ในการเรียกใช้ครั้งนี้ ฟังก์ชัน printfจะถูก ผ่านค่า ด้วยอาร์กิวเมนต์หนึ่งตัวคือตำแหน่งหน่วยความจำของอักขระตัวแรกในสายอักขระ "hello, world\n"สายอักขระดังกล่าวคือแถวลำดับที่ไม่มีชื่ออันประกอบด้วยชนิดข้อมูลcharจะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติโดยตัวแปลโปรแกรม และแถวลำดับจะมีอักขระค่าศูนย์ (null) เป็นสิ่งที่บ่งบอกจุดสิ้นสุดของสายอักขระ (printf จำเป็นต้องทราบสิ่งนี้) \n ที่ปรากฏในสายอักขระคือ ลำดับการหลีก (escape sequence) ภาษาซีจะตีความว่าเป็นอักขระ newline (ขึ้นบรรทัดใหม่) ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์ส่งออกทราบว่าถึงจุดสิ้นสุดของบรรทัดปัจจุบัน ค่าส่งคืนจากฟังก์ชัน printf คือชนิด int แต่มันถูกละทิ้งไปอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากไม่มีการใช้ (โปรแกรมที่ระมัดระวังมากกว่าอาจทดสอบค่าส่งคืน เพื่อพิจารณาว่าผลจากการทำงานของฟังก์ชัน printf สำเร็จหรือไม่) อัฒภาค ; เป็นจุดสิ้นสุดข้อความสั่ง
ข้อความสั่ง return เป็นการสิ้นสุดการทำงานของฟังก์ชัน mainและทำให้ฟังก์ชันส่งกลับเป็นจำนวนเต็มค่า 0 ซึ่งสภาพแวดล้อมขณะทำงานจะตีความว่าเป็นรหัสออกจากโปรแกรมที่แสดงว่าการทำงานประสบผลสำเร็จวงเล็บปีกกาปิดหมายถึงจุดสิ้นสุดของการนิยามฟังก์ชัน main



นายวีระยุทธ สุสม รหัส 49043494343
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
Section 01 ห้องเรียน A301
อ้างอิงจาก
http://forum.datatan.net/index.php/topic,361.0.html